วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

S26

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

ข้อมูลโดย : คุณ เกศกนก สุกแดง นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ รพ.ศิริราช

          หลังกำเนิดจำนวนของเซลล์สมองนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก แต่เซลล์สมอง สามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก ผ่านการส่งเสริมให้เส้นใย ที่ส่งข้อมูลในสมองแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ผ่านการสร้างประสบการณ์

          ในขณะที่ส่วนของสมองที่เป็นเปลือกหุ้มเส้นใยสมอง หรือ นวมสมอง ที่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้จาก อาหาร และการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ อาหารจึงมีบทบบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมอง ดังนั้นจึงแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ และรับประทานให้หลากหลายโดยใช้หลักการของ ทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักการทางโภชนาการ ที่ช่วยให้เกิดการรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างไอคิวลูกได้จริงในชีวิตประจำวัน 

          ซึ่ง ทฤษฏี 7 กลุ่มอาหาร นี้ เป็นการบอกพื้นฐานทางโภชนาการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน โดยแนะนำให้ทานอาหาร 7 ชนิด ในหนึ่งวัน เป็นทฤษฎีจากสหรัฐอเมริกาที่ปฏิบัติตามได้ง่ายเหมาะกับยุคสมัย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน สมดุล เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีตามไปด้วยนั่นเองค่ะ

 7 กลุ่มอาหารสร้างพลังสมอง อย่าลืมรับประทานให้ครบกลุ่มทุกวันนะคะ

          เห็นประโยชน์ของ 7 กลุ่มอาหาร มากขนาดนี้ มารู้จักทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้างกันเถอะค่ะ 

           กลุ่มที่ 1 คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ผลิตภัณฑ์ข้าวแป้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี 

          กลุ่มที่ 2  ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี 

          กลุ่มที่ 3  มีใยอาหาร น้ำตาลฟรุตโตส วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารสีที่ดีต่อร่างกายและสมอง 

          กลุ่มที่ 4  ช่วยดูดซึมวิตามินเอ,ดี,อี,เค ที่ละลายในน้ำมัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท 

          กลุ่มที่ 5  โยเกิร์ต ชีส ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารต่าง ๆ 

          กลุ่มที่ 6  ที่ให้โปรตีนจากไข่ ปลา ไก่ หมู วัว อาหารทะเล ที่เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เสริมระบบภูมิต้านทาน และการพัฒนาสมอง 

          กลุ่มที่ 7  ที่มีแร่ธาตุวิตามินบางชนิดจากถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เต้าหู้ 

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลูกจะเป็นอย่างไร...ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน!!

ลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน

 
       สถาบันครอบครัวถือเป็นแหล่งแรกในการปลูกฝังความคิด ทัศนคติ ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของบุคคลแต่ละคนในสังคม โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นถือว่ามีหน้าที่หลักในการเป็นผู้นำในการหล่อหลอมพฤติกรรม ต่างๆของลูกโดยตรง ซึ่งหากพ่อแม่มีความรักซึ่งกันและกัน เอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจกัน ปฏิบัติดีต่อกัน ครอบครัวก็มีความมั่นคงอบอุ่น ลูกๆก็จะมีความสุข มีอารมณ์ดีและมีสุขภาพจิตดี แต่ถ้าหากพ่อแม่ไม่รักกัน ก้าวร้าวใส่กันและทะเลาะกันบ่อยๆ ครอบครัวก็จะเกิดความสั่นคลอน และจะส่งผลกระทบในทางร้ายต่อจิตใจและความรู้สึกของลูกได้ ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกว่าพ่อแม่ไม่รักกัน มีดังนี้
       
       1.ไม่ยอมรับความคิดเห็นหรือไม่เห็นด้วยกับทัศนคติของกันและกันในทุก ๆ ประการ
         การมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีทัศนคติไม่เหมือนกันถือเป็นเรื่องปกติของคนที่อยู่ร่วมกัน แต่หากเราได้เปิดใจยอมรับฟังเหตุผลของกันและกันแล้วและสามารถปรับความคิด เข้าหากันได้ในที่สุด ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะนั่นหมายความว่าเราต่างก็รักกันจึงยอมรับความแตก ต่างนั้นได้ แต่หากใครก็ตามโดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันอย่างคุณพ่อคุณแม่ หากมีปัญหาหรือมีเหตุให้คิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถยอมรับในเหตุผลของกัน และกันได้ในทุกๆกรณี และไม่มีใครยอมใคร แต่เอาอารมณ์และเหตุผลของตนเองเป็นใหญ่ หรือคุณพ่อคุณแม่บางคนมักทะเลาะเบาะแว้งกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่อง สากกะเบือยันเรือรบแล้ว นั่นถือว่าความสัมพันธ์คงไม่ปกติอีกต่อไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการที่ก่อนแต่งงานไม่ได้ใช้เวลาในการศึกษานิสัย ใจคอกันอย่างลึกซึ้งหรือคบหากันอย่างฉาบฉวยจึงไม่ได้รู้ลักษณะนิสัยของกัน และกันนั่นเอง
   
    
       2.คิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว
         การใช้ชีวิตอยู่เป็นครอบครัว ต้องไม่คิดถึงแต่ตนเองฝ่ายเดียว แต่ต้องคิดถึงคู่ของเรา หรือลูกของเราด้วยว่ามีความสุขดีหรือไม่อย่างไร มีสิ่งใดที่เขายังขาดเหลือและมีสิ่งใดที่เราจะทำให้เขาได้บ้างเพื่อทำให้เขา มีความสุข ดังนั้นหากคุณพ่อหรือคุณแม่คนใดเริ่มคิดถึงความสุขสมหวังของตนเองอย่างเดียว โดยไม่นึกถึงคนอื่นในครอบครัวแล้ว เช่น พอเงินเดือนออกก็คิดจะเปลี่ยนมือถือเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ไม่เคยคิดถึงค่าเทอมลูกที่ยังจ่ายไม่หมด หรือไม่เคยคิดถึงค่าใช้จ่ายต่างๆภายในบ้านเลย ปล่อยให้เป็นภาระของอีกฝ่าย เช่นนี้แล้วก็แสดงว่าเขารักแต่ตัวเองไม่รักคนอื่น
   
    
       3.นอกใจกัน
         เป็นปัญหาโลกแตกที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสามีมีเมียน้อย ภรรยามีชู้ หรือต่างฝ่ายต่างมีกิ๊ก ส่วนใหญ่พอเกิดปัญหามักจะอ้างว่าไม่ตั้งใจ แต่จริงๆแล้วเป็นทั้งความตั้งใจและทั้งเต็มใจ บางคนอยากลอง อยากท้าทาย อยากดูว่าตัวเองยังมีน้ำยาอยู่ไหม ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นแก่ตัว ไม่พอใจและไม่ภูมิใจสิ่งที่เป็นของเรา ซึ่งถือเป็นการไม่รักครอบครัวของเราเอง
    
    
       ปัญหาเรื่องพ่อแม่ไม่รักกันไม่ได้ส่งผลกระทบในทางร้ายต่อแค่พ่อและแม่เท่านั้น แต่มีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อลูก ๆ ด้วย ดังนี้
       
       1. ลูกขาดความสุข
         พ่อแม่บางคนมักนึกไม่ถึงว่าลูกสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ และสามารถรับรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันได้ เพราะเด็กๆแม้ยังเล็กเช่นอยู่ในวัยอนุบาลสามารถซึมซับทุกอย่างที่เกิดขึ้น รอบตัวเขาได้โดยเฉพาะกับบุคคลที่เขาใกล้ชิดด้วยอย่างพ่อแม่ลูกจะรับรู้ได้ ทุกอย่าง ดังนั้น การที่ลูกเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ทุ่มเถียงกัน เห็นแก่ตัวต่อกัน เป็นการสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆที่ยังพูดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นพ่อแม่ทะเลาะและใช้ความรุนแรงต่อกัน เด็กจะเกิดความกลัวและสับสน ทำให้ลูกเกิดความเครียดและส่งผลให้ลูกเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข เก็บตัว มีความเหงา ว้าเหว่อยู่ลึกๆ และความรู้สึกเหล่านี้จะฝังอยู่ในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของเขาไปจนโตเลย ทีเดียว
       
       2. มีอารมณ์รุนแรง
        ลูกที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ลงไม้ลงมือกัน ตบตี ด่าว่ากันด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย แน่นอนว่าลูกย่อมจะซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้มาจากพ่อแม่ ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นคนดื้อ หยาบคาย ก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายผู้อื่นและที่น่ากลัวคือจะมีการส่งต่อพฤติกรรมนี้ไปยังผู้อื่นต่อ ไปด้วย ดังตัวอย่างที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง เช่น กรณีนักเรียนตีกัน การข่มขืน การฆ่ากัน
       
       3. รู้สึกผิด
          ในเด็กเล็กๆนั้นจะมีความคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง(egocentrism) คือความคิดที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้นการที่ลูกเห็นว่าพ่อแม่ไม่รักกัน ชอบทะเลาะด่าว่ากัน นอกใจกัน ลูกก็จะสรุปเอาเองว่าตัวของเขาเป็นต้นเหตุ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เก็บกด ขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ กลัวต่อทุกอย่างบางคนอาจประชดชีวิตแบบผิดๆหรือหาทางออกให้ตนเองอย่างผิดๆ เช่น ติดยาเสพติด ส่ำส่อน บางคนมีความวิปริตทางเพศ ชอบโชว์อวัยวะเพศ หรือเป็นพวกถ้ำมอง
       
       4. มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อครอบครัว
         เด็กที่มาจากสภาพครอบครัวที่มีพ่อแม่ไม่รักกัน มีความขัดแย้งและขาดความเข้าใจในกันและกันจะส่งผลทำให้ลูกขาดความศรัทธาต่อ สถาบันครอบครัว ทำให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีทัศนคติในด้านลบต่อความเป็นครอบครัว หลายคนเกลียดการมีครอบครัว ไม่อยากมีชีวิตคู่ บางคนนิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆแต่ไม่ยอมผูกพันกับใครอย่างจริงจัง เพราะเห็นตัวอย่างที่พ่อแม่ไม่รักกันกัน จึงไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนพ่อแม่
    
   
       การมีครอบครัวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อนเพราะเป็นการผูกพันคนหลายคนให้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปจน ตลอดชีวิต แม้ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคบ้างแต่อยากให้ทุกคนที่ไม่ได้มีฐานะแค่เป็นสามี ภรรยา แต่มีฐานะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคนๆหนึ่งที่เราสร้างให้เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ ได้ตระหนักและคำนึงถึงจิตใจของลูกของเราว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากเขาต้องใช้ ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน ผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ไม่รักและไม่หวังดีกับลูก อย่าปล่อยให้ทิฐิ อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผล เหนือความรัก เหนือความเข้าใจและเหนือการให้อภัย หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีปัญหาก็ค่อยๆคุยกัน เช้านี้ไม่เข้าใจ เย็นนี้ก็ยังเข้าใจกันได้ และคำขอโทษเป็นคำที่มีค่าเสมอสำหรับความเป็นครอบครัวถ้าเรายังไม่อยากเสียคน ที่เรารักและรักเราไป


Manager online / ดร.แพง ชินพงศ์

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผักโขม พลังธรรมชาติเพื่อสุขภาพลูกน้อย

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"


       ผักโขมนั้นเป็นผักที่หลายๆประเทศทั่วโลกรู้จักกันมายาวนานแล้ว สำหรับในประเทศไทยเองก็นิยมกินผักโขมมานานเช่นกัน โดยผักโขมนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผักโขมบ้าน ผักโขมสวน และผักโขมจีน ซึ่งชนิดที่คนนิยมกินและมีวางขายทั่วไปก็คือผักโขมจีนนั่นเอง
  
     สำหรับประโยชน์ของผักโขมนั้นก็มีมากมายไม่แพ้ผักชนิดไหนๆ

       เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย เป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน
     แม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีเบต้าแคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอลเลสเทอรอลในเลือดได้อีกด้วย นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

       ผักโขมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารแบบไทยๆ อย่างแกงจืด แกงเลียง ผัดน้ำมัน หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนยอดฮิตอย่างผักโขมอบชีส ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของหลายๆ คนเช่นกัน 



กินปลา… มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด



กินปลา มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด

          จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม
          เครือข่ายคนไทยไร้พุงให้ข้อมูลว่า  คนไทยยังบริโภคปลากันน้อยเพียง 32 กิโลกรัมต่อปี  ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบริโภค 50 กิโลกรัมต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กิโลกรัมต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ และมีกรดไขมันโอเมก้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมองซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์
          กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ได้มีเพียงเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ปลาน้ำจืดในท้องถิ่นของเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง และบางชนิดสูงกว่าปลาทะเล เช่นปลาสวายเนื้อขาว มีกรดไขมันโอเมก้า ถึง  2,570  มิลลิกรัมต่อปลา  100  กรัม ปลาช่อนมี  870  มิลลิกรัมต่อ  100  กรัม ปลากะพงมี 310 มิลลิกรัมต่อ100  กรัม
          นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำว่า การกินปลาสม่ำเสมอจะได้กรดไขมันโอเมก้า 3เพียงพอ และสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า มื้อต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามากินเพิ่ม     เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแอสไพรินร่วมด้วย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ และปลาที่กินควรใช้วิธีการต้มหรือนึ่ง
          ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้กินปลาน้ำจืดกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

"ปลาช่อน" ปลาไทยๆให้คุณค่าโอเมก้า 3

ปลาช่อน

          เป็นปลาน้ำจืดที่ควรเริ่มให้ลูกกินเมื่ออายุ 6-8 เดือน

          คุณสมบัติพิเศษ :  เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น ๆ และถ้าอยากทำอาหารให้อร่อย ต้องเอาไปทอดเลาะหนังออก จะได้เนื้อที่ฟูนุ่มไปปรุงอาหาร หรือหั่นเป็นท่อน ต้มน้ำซุปก็อร่อยไม่เบา

          การเลือกซื้อ : ความสดของปลาช่อนสังเกตจากเกร็ด มีสีใส เรียงตัวแน่น ไม่หลุดลอก แต่ถ้าเกร็ดหลุดง่าย และไม่ติดแน่นแสดงว่าปลาไม่สด


รู้เรื่องโอเมก้า 3

          กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างเนื้อเยื่อร่างกาย อีกทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาสมองและดวงตา แต่กรดโอเมก้า 3 นี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 และอาหารที่มีกรดไขมันชนิดนี้มากที่สุด ก็คือ ปลาทะเล เช่น ปลากะพง ปลาทู ฯลฯ และปลาน้ำจืดอย่าง ปลาช่อน นอกจากนี้ยังสามารถกินน้ำมันปลาที่สกัดมาจากหัวและส่วนต่าง ๆ ของปลา ก็จะได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 เหมือนกันค่ะ

ปรุงปลาอย่างมืออาชีพ

          แค่ได้ยินว่า "ปลา" คุณแม่หลายคนอาจถึงกับร้องโอย เพราะทำยาก แถมเจ้าตัวเล็กยังไม่ค่อยชอบกินด้วย ปรุงเมนูปลาให้ลูกเล็กกินใช่เรื่องง่ายซะที่ไหน จริงไหมคะ แต่ถ้าคุณแม่รู้เทคนิคต่อไปนี้ จะมีเมนูปลาให้เบบี๋เลือกอีกมากมายเชียวล่ะ...

         ต้องทอดปลาด้วยไฟแรงและใช้เวลาน้อย เพราะถึงหนังปลาข้างนอกจะกรอบหรือเกรียม แต่เนื้อปลาข้างในจะสุกพอดี คุณแม่เลาะหนังออกเอาเนื้อนุ่ม ๆ ไปปรุงอาหารอื่นต่อได้

         ถ้าคุณแม่กลัวว่า ปลาตัวใหญ่จะสุกไม่ทั่วทั้งตัวให้บั้งหรือแบ่งครึ่ง และถ้าไม่ห่วงเรื่องความสวยงามก็เอาไม้เล็ก ๆ จิ้มทั่วตัว เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าไปขณะทอดปลาก็สุกทั่วตัวแล้วล่ะ

         ใช้น้ำมะนาวทาตัวปลา จะทำให้ไม่ติดกระทะ และลดกลิ่นคาวของปลาลงได้

         เวลาต้มปลาควรต้มน้ำซุปให้เดือด ค่อยนำปลาลงไปต้ม ปิดฝา และห้ามคนเพราะกรดอะมิโนในเนื้อปลาจะแตกตัว ทำให้ปลามีกลิ่นคาว ควรปล่อยให้ปลาค่อย ๆ สุกเองค่ะ

         ใบตะไคร้ ใบเตย หรือเกลือเม็ดใหญ่ จะช่วยล้างเมือกของปลาให้สะอาดขึ้น

         สำหรับเบบี๋คุณแม่ดับกลิ่นคาวปลาได้ด้วย ผักและเครื่องเทศบางชนิด เช่น ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ข่าอ่อน เพียงเล็กน้อย เป็นต้น


ปริมาณแนะนำต่อวัน


 อายุ     ลักษณะเนื้อปลา ปริมาณต่อมื้อ ปริมาณต่อวัน หมายเหตุ
 (เดือน) (ช้อนโต๊ะ) (ช้อนโต๊ะ)
6-8

8-10

10 ขึ้นไป
บดละเอียด

 บดละเอียด

ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ ย่าง ทอดน้ำมันน้อย ๆ
1

1

1

 1

 2

 3

รวมอยู่ในอาหารเสริม 1 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 2 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 3 มื้อ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อหนูร้องกรี๊ดไม่มีเหตุผล

สารพันปัญหาเด็ก..ตอน..กรี๊ด


     บ้านไหนมีเด็ก คนในบ้านนั้นก็ต้องทำใจต่อเสียงร้องไห้ โวยวาย แต่ถ้าเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก นับวันมีบ่อย ๆ ขึ้น และเกิดวันละหลายครั้ง ก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


สาเหตุที่เด็กกรี๊ด


1. เป็นการแสดงออกถึงความโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด อาจจะเป็นภาวะปกติในช่วงที่เด็กยังพูดได้ไม่เก่ง (วัย 1 – 3 ปี) ที่เด็กยังแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่พอใจออกมา เมื่อเติบโตขึ้น พฤติกรรมการกรี๊ดร้อง จะลดลงจนหายไปหมด แต่เด็กจะพูดออกมา ถึงความต้องการหรือคับข้องใจเพิ่มขึ้น
2. เป็นการเรียนรู้ถึงอิทธิพลจากการกรี๊ด ซึ่งทำให้เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เพราะมีผู้คอยเสริมหรือคอยให้ท้าย พร้อมที่จะยินยอมทำตามเด็กทุกอย่าง


3. เลียนแบบพฤติกรรมชอบกรี๊ดจากผู้ใหญ่ 

4. มีคนยั่วแหย่ให้เด็กโกรธบ่อย ๆ

5. การเลี้ยงดูที่ตามใจมาก ส่งเสริมให้เด็กเอาแต่ใจตัวเอง ไม่สอนให้หัดควบคุมอารมณ์ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ



6. เป็นการเรียกร้องความสนใจ

7. ขาดทักษะในการช่วยเหลือตนเอง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ดี


วิธีการแก้ไข


1. ให้ความสำคัญต่อเด็ก เมื่อขณะที่ยังไม่กรี๊ด หรือแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนกรี๊ดได้กรี๊ดดีอยู่ตลอดเวลา แต่พบได้บ่อยในเด็กที่เวลาประพฤติกรรมตัวดี ๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ หรือชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีและเหมาะสมแล้ว แต่พอเด็กกรี๊ดออกมาเท่านั้น ผู้ใหญ่จะรีบวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบหรือให้ความสำคัญ หรือเข้าไปดุ ว่า ตี สั่งสอน ฯลฯ แต่ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเด็กเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจ


2. ในกรณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ทุกอย่างต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวาย เด็กลักษณะนี้มักจะถูกเลี้ยงดูโดยการตามใจเด็กมากเกินไป จนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด โดยที่พ่อแม่และพี่เลี้ยงจะพยายามทำทุกอย่างตามที่เด็กต้องการ เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้ และเด็กเองก็เรียนรู้ถึงอิทธิพลของการโวยวายกรี๊ดร้องว่าจะใช้เป็น “ไม้ตาย” เวลาไม่ได้ดั่งใจ เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเลี้ยงดูเด็กใหม่อย่าคิดว่าการทำทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เด็กร้องไห้นั้น จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมีคนรักคนชอบมากมาย เด็กเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์ ลดการตามใจ ฝึกให้ช่วยตนเองเพิ่มขึ้น สิ่งใดที่เล่นไม่ได้ก็อย่าให้เล่นถึงแม้ว่าเด็กจะอาละวาดขนาดไหน ก็อย่าสนใจ แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น


3. ลดการยั่วแหย่เด็ก หรือทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น


4. ในกรณีที่มีผู้ใหญ่ที่ชอบกรี๊ด หรือโวยวายเป็นต้นแบบของวิธีที่จะเอาแต่ใจตัวเอง จำเป็นต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อลดแบบอย่าง ถ้าเป็นไปได้กรณีที่เปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ต้องแยกเด็กให้ห่างออกมา

5. ฝึกให้เด็กควบคุมอารมณ์ อารมณ์รัก ชอบ ดีใจ ไม่พอใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ เป็นอารมณ์ที่พบได้ในเด็กวัย 3 – 5 ปี หน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนให้เด็กรู้ทันว่าตนเองรู้สุกอย่างไร และฝึกให้หัดควบคุมอารมณ์ หรือฝึกวิธีระบายอารมณ์ ซึ่งมีหลายวิธีตั้งแต่การพูดคุย การทำสิ่งทดแทน เช่นโกรธจัด ๆ ก็ไปเตะฟุตบอล หรือว่ายน้ำ หรือวาดรูปเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น

6. เพิ่มทักษะในการเล่น เช่น การว่ายน้ำ เล่นบอล ถีบจักรยาน วาดรูป เล่นตุ๊กตา เล่นขายของ ฯลฯ เพราะการเล่นในเด็กมีความหมายเท่ากับการทำงานของผู้ใหญ่ ในชีวิตจริงเราพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโรธแค้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่การเล่นและการทำกิจกรรมจะทำให้เด็กผ่านภาวะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ได้มีเวลาไตร่ตรอง และระบายความรู้สึกผ่านการเล่นนี้เอง

7. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ปัญหาของเด็ก 3 – 5 ปี มักหนีไม่พ้นปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ทำน้ำหก ติดกระดุมเขย่ง หารองเท้าไม่พบ ฯลฯ การฝึกหัดให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลทำให้เด็กมีความชำนาญที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ผิดหวังได้เก่งกว่าเด็กที่ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งก็คงทำได้แค่ส่งเสียงกรี๊ด ๆ รอให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลืออีกตามเคย


สารพันปัญหาเด็ก
พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์

พัฒนาการลูกน้อยวัย 5 เดือน

พัฒนาการปกติ เดือนที่ 5    “ พลิกตัวคล่อง”

       ลูกควรจะมีน้ำหนักตัวประมาณ 2 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุ 4-5 เดือน ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกนั้น เด็กจะโตเร็ว และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 800 – 1,000 กรัม แต่หลังจาก เข้าเดือนที่ 5 น้ำหนักจะเริ่มขึ้นช้าลง โดยอาจจะเพิ่มประมาณ 500-600 กรัม ต่อเดือน และต่อมา จะเหลือเพียง 200-400 กรัม ต่อเดือน หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว    

     ลูกควรจะพลิกตัวคว่ำหงายได้คล่อง และชอบที่จะอยู่ในท่านั่ง มากกว่าท่านอน ลูกจะเริ่มใช้มือร่วมกับสายตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น จะเริ่มจับสิ่งของ บางครั้งจะกำของแน่นด้วยมือทั้ง 2 ข้าง และชอบที่จะเอาของต่างๆ ใส่เข้าไปในปากเพื่อเรียนรู้ ลูกจะยังไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งของที่เห็นอยู่ต่อหน้ากับสิ่งของที่ถูกซ่อนไว้ แม้ว่าลูกจะมองเห็นว่าคุณซ่อนของชิ้นนั้นต่อหน้าเขา


     ลูกจะชอบที่จะพบปะผู้คน จะส่งเสียงต่างๆ ได้อย่างน่ารัก และยังชอบทำท่าทางเลียนแบบคนที่กำลังเล่นกับเขา ลูกจะทำเสียงสูง เสียงต่ำ และเริ่มออกเสียง ที่พอจับความหมายได้ เช่น คำว่า “ดา” “มา” ท่าทีที่คุณตอบสนองต่อการส่งเสียงของเขา จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ลูกสนุก กับการส่งเสียงต่างๆมากขึ้น ซึ่งช่วงนี้ ก็เป็นโอกาสในการตรวจเช็คการได้ยินของลูกไปด้วย เพราะความสามารถในการพัฒนาการด้านภาษานั้น จะขึ้นกับการได้ยินเสียงต่างๆ โดยเฉพาะเสียงพูดของคนรอบข้าง

     อาหารที่ลูกทาน ก็มีความสำคัญ เพราะในช่วงนี้ จะพบว่าปริมาณของธาตุเหล็ก ที่มีสะสมมาในตอนแรกเกิด จะเริ่มลดน้อยลงจากการที่ลูกมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็ว ดังนั้นควรให้นมที่มีธาตุเหล็กเสริม (ซึ่งนมทารกส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาด ก็มีการเสริมธาตุเหล็กอยู่แล้ว) และในทารกที่เลี้ยงด้วยนมมารดา อาจต้องการธาตุเหล็กเพิ่ม จากอาหารเสริม และการให้รับประทานไวตามิน ที่มีธาตุเหล็ก (ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนพิจารณาการให้ธาตุเหล็ก)

     ลูกจะทานอาหารได้ดีขึ้น แต่ในการเลือกชนิดอาหารที่จะป้อนลูก ยังต้องระวังเรื่องการแพ้สารอาหารบางชนิด จึงยังต้องคอยเอาใจใส่เสมอ บางครั้งลูกจะมัวแต่สนใจที่จะเล่น ทำให้การป้อนอาหาร ใช้เวลานานมาก และบางครั้งก็จะเริ่มอมข้าว ในรายที่ทานอาหารได้ดี จะเห็นว่าการทานนม จะน้อยลงบ้าง ซึ่งเป็นปกติ ทั้งนี้เพราะในอาหารของลูก ที่คุณป้อนนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการ และมีปริมาณของแคลอรี่ และสารอาหารที่ครบถ้วนอยู่แล้ว  

     หลังจากนี้ไม่นาน เด็กบางคนจะเริ่มแยกแยะระหว่างคนที่เขาคุ้นเคย กับคนแปลกหน้า ทำให้เขาเริ่มกลัว หรือร้องไห้ เมื่อเจอคนแปลกหน้า ที่เรียกว่า “stranger anxiety” ลูกจะต้องการเวลาสำหรับทำความคุ้นเคย และสังเกตคนแปลกหน้า ที่เริ่มเข้ามาอยู่ใกล้เขา ถ้าคนๆนั้นไม่มีท่าทีที่จะเป็นอันตราย หรือตรงเข้ามาหาเขาทันที ให้เวลาให้ลูกได้ยอมรับเขา ลูกก็จะไม่เกิดความกลัว แต่ถ้าคนๆนั้นทำเสียงดัง หรือมีท่าทางที่จะทำให้ลูกตกใจ ก็จะเกิดการร้อง หรือกลัวขึ้นทันที ดังนั้นควรที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่จะเข้ามาหาคุณพ่อคุณแม่ ในขณะที่อยู่กับลูก จะเข้าใจ และพูดคุยกับคุณโดยไม่ทำท่าให้ความสนใจเด็กมากนัก เพื่อให้เด็กได้เกิดความวางใจก่อน จึงค่อยเล่นกับเด็กทีหลัง

     นอกจากนี้ ลูกเริ่มที่จะทำอะไรได้หลายอย่างขึ้น คุณจึงควรเตรียมตัว ที่จะสอนให้เขารู้ถึงกฎเกณฑ์บางอย่างที่ง่ายๆ ได้ เพราะลูกพอจะรู้ จากการสังเกตสีหน้าท่าทาง และน้ำเสียงของคุณว่าคุณ “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” ในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ซึ่งต้องอาศัยเวลา, ความเข้าใจ และความสม่ำเสมอ ในการฝึกฝนอีกสักพักใหญ่ ก่อนที่เด็กจะเรียนรู้ว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการอบรมเลี้ยงดูลูกในอนาคต อย่างที่เรียกว่า “Discipline” นั่นเอง


พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม


หนจะ้เป็นเด็ก เก่ง ดี และมีความสุขได้อย่างไร

เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี มีความสุข



คุณพ่อคุณแม่เป็นคนสำคัญมากครับที่จะช่วยฝึกฝนให้ลูกรักเป็นทั้งคนเก่งและคนดี แถมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปพร้อมๆ กัน โดยผ่านกิจกรรมที่ทำร่วมกันด้วยความรักและความเข้าใจ
และการฝึกที่ดีนั้นควรเริ่มทำกันแต่เล็กนี่ล่ะครับ เพราะลูกจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกบังคับ แต่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำอยู่ แล้ว ซึ่งการฝึกตั้งแต่เล็กนั้นจะทำให้ฝึกได้ง่ายกว่าตอนโตครับ และการฝึกก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร โดยเริ่มจาก...

  • ใส่ใจให้เวลา...ช่วยลูกเป็นคนเก่ง
เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญครับ นอกจากคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาให้กับลูกแล้ว ยังต้องให้เวลาลูกในการคิด การเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจผ่านกิจวัตรประจำวันของลูก ได้แก่
  • ฝึกลูกช่วยตัวเองได้ตามวัย เช่น ให้ลูกกินข้าวเอง อาบน้ำแต่งตัวเองโดยที่พ่อแม่ให้เวลาและคอยดูอยู่ห่างๆ ฝึกให้ลูกเข้าห้องน้ำเองได้ และเปิดโอกาสให้เขาวิ่งเล่นโดยกำหนดขอบเขต และบอกให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเองได้
  • ให้โอกาสลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองก่อน ถ้าทำไม่สำเร็จหรือยังทำได้ไม่ดี พ่อแม่ค่อยเข้าไปช่วย เช่น ให้ลูกลองช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าช่วยทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ให้ลูกได้ลองทำด้วยตัวเองก่อน อาจจะยังไม่ดี แต่ก็ให้ลูกได้เริ่มต้นที่จะทำอะไรด้วยตนเอง อย่าลืมให้กำลังใจและคำชมเมื่อลูกทำได้ดีด้วยครับ
  • พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในการคิด ด้วยการพูดกับลูกเมื่อมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เช่น เมื่อคุณแม่เลือกเสื้อผ้าให้ลูก ก็บอกเหตุผลให้ลูกรู้ว่าทำไมคุณแม่ถึงเลือกเสื้อตัวนี้ให้ เพราะว่าอากาศร้อน หนูจะได้ใส่บาย ไม่ร้อน
  • ใช้สิ่งที่พบเห็นประจำวันสอนลูกให้เรียนรู้ เช่น พาไปตลาดแล้วฝึกให้ลูกสังเกตความแตกต่างของสิ่งของ พืช ผัก ผลไม้ ฝึกให้ลูกนับเงินทอง เป็นต้น

  • ความดี ช่วยลูกประสบความสำเร็จ
ความดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกรู้จักปรับตัวในสังคมและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
  • เริ่มต้นด้วย การเป็นแบบอย่างที่ดี คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำครับ ต่อให้คุณพ่อคุณแม่สอนลูกทุกวันแต่คุณกลับไม่ทำซะเอง ลูกก็จะเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ที่กระทำเรื่องนั้นๆ เช่น สอนลูกให้เก็บรองเท้าให้เป็นระเบียบ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทำให้เป็นระเบียบเช่นกัน
  • ให้ลูกได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นๆ เช่น ช่วยเหลือเพื่อน ช่วยคุณครูถือ หรือช่วยพ่อแม่ดูแลน้อง ทำความสะอาดบ้าน และอย่าลืมให้กำลังใจและคำชมกับลูกด้วย
  • สอนเรื่องของวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย เช่น การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ มีความเกรงอกเกรงใจ รู้จักกาลเทศะ และมีความกตัญญูรู้คุณ รวมถึงอาศัยหลักธรรมทางศาสนาเข้ามาสอนด้วย เช่น สวดมนต์ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตา เป็นต้น
  • เล่านิทานเป็นสื่อในการทำความดี เลือกนิทานที่สอนให้เห็นถึงการทำความดีและการเป็นเด็กไม่ดีจะมีผลเช่นไรบ้าง เพื่อให้ลูกซึมซับและรู้สึกว่าความดีเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

  • มีความสุข...ต้องปรับตัวได้ดี
ระเบียบและกฎเกณฑ์อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องฝืนใจอยู่บ้าง เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และถ้าคุณฝึกลูกตั้งแต่ยังเล็ก เขาจะไม่รู้สึกว่าโดนบังคับแต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำด้วยความเต็มใจ
  • ฝึกให้ลูกยอมรับกฎเกณฑ์ ในบ้าน ในสังคม อาจจะมีบางเรื่องที่ลูกไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำ เช่น การจำกัดเวลาการดูทีวี ลูกอาจจะอยากดูมากกว่าเวลาที่กำหนด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใจแข็ง และให้เหตุผลของการจำกัดเวลา รวมทั้งต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
  • ฝึกระเบียบในบ้าน ให้ลูกรู้จักระเบียบวินัยและทำอะไรเป็นเวลา เช่น กินอาหารให้เป็นที่เป็นทาง ตื่นนอนและเข้านอนให้เป็นเวลา เสื้อผ้าที่ใส่แล้วก็ต้องใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย ของเล่นเล่นแล้วก็ต้องเก็บให้เป็นระเบียบ เป็นต้น
  • ฝึกระเบียบในสังคม เช่น สอนให้ลูกรู้จักการเข้าคิวรอคอย สอนให้ลูกข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือสะพานลอย ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน
  • ฝึกให้รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองและแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น เวลาที่ลูกอยากได้ของเล่น แล้วพ่อแม่ไม่ซื้อให้พ่อแม่ก็ต้องให้เหตุผลและเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อไม่ให้ลูกเอาแต่ใจร้องกรี๊ดๆ ในที่สาธารณะ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
นอกจากการมีเวลาในการทำกิจกรรมเพื่อฝึกฝนให้ลูกเป็นคนเก่ง ดี มีสุข คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความหนักแน่นและอดทน เพราะการสอนเด็กเล็กๆ ให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลาและการปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ซึ่งจะเหมาะกับลูกมากกว่าการสอนด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว











เมนูลูกรักวัย 4-5 เดือน

ข้าวครูด 
เครื่องปรุง
ปลายข้าว 2ชต.
น้ำ 2 ถ .
วิธีทำ
1. ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดหรี่ไฟ เคี่ยวจนข้าวสุกและเปื่อย หรืออาจจะตุ๋นก็ได้โดยใช้หม้อตุ๋น 2 ชั้น
2. นำมาครูดด้วยกระชอนตาถี่ๆ หรืออาจบดด้วยหลังช้อนจนละเอียดมาก ข้าวครูดนี้อาจใช้ป้อนทารกโดยเติมน้ำ ต้มผัก หรือบดกับกล้วยน้ำว้าสุกก็ได้ 

*ก่อนครูดข้าวต้องล้างกระชอนให้สะอาด และลวกด้วยน้ำร้อน
________________________________________

ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด 
ข้าวบด 
ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดหรี่ไฟ เคี่ยวจนเปื่อย หรือใช้หม้อตุ๋น 2ชั้นก็ได้ 
บดข้าวในกระชอนตาถี่ หรือบดข้าวในผ่านผ้าขาวบาง หรือหลังช้อนก็ได้ 
น้ำแกงจืด 
ใช้ผักใบเขียวชนิดใดก็ได้ ยกเว้นบางชนิดที่มีกลิ่นแรงเช่น ผักชี ใบหอม ขึ้นฉ่าย กุยช่าย 
ล้างให้สะอาด ซอยละเอียด ต้มในน้ำด้วยไฟแรงจนสีเขียวของผักออก กรองเอาแต่น้ำ 
________________________________________

กล้วยน้ำว้าครูด 
กล้วยน้ำว้าสุกเปลือกเหลืองค่อนข้างงอม ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกด้านที่จะครูดก่อน เพื่อมือจะได้ไม่สัมผัสด้านที่ยังไม่ได้ครูดใช้ช้อนครูดเอาแต่เฉพาะผิวๆ บดให้ละเอียด แล้วนำไปครูดผ่านกระชอนหรือผ้าขาวบางอีกครั้ง 
กล้วยน้ำว้าครูดนี้สามารถให้ทานเปล่าๆ หรือนำไปผสมกับข้าวบดก็ได้ 
________________________________________

ข้าวบดกับนม 
- ผสมนมตามปกติ แล้วเทใส่หม้อ ตั้งไฟพอให้ร้อน 
- ใส่ข้าวบด ( ข้าว 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ นม 1/3ถ้วย ) คนให้เข้ากัน ยกลง
- แล้วเติมนมอีก1ช้อนโต๊ะ คนให้ทั่ว 
________________________________________

ข้าวบดใส่ไข่แดง 
- ต้มไข่จนสุก ( ประมาณ 20 นาที ) เอาแต่ไข่แดงที่สุกจริง ๆ มาบดกับข้าว 
- ครั้งแรกควรเริ่มให้ไข่แดงแค่ ประมาณ1/4ก่อน 

*ไข่แดงต้องเป็นไข่แดงสุกจริง ๆ เพราะหากเป็นยางมะตูม จะย่อยยาก 
________________________________________

ข้าวบดถั่วเขียว 
นำถั่วเขียวเลาะเปลือกล้างสะอาด แช่น้ำเดือดประมาณ 20 นาที ต้มจนเปื่อย 
กรองเอาน้ำออก บดให้ละเอียด ผสมกับข้าวหรือจะผสมกับนมที่ให้ทานก็ได้ 
________________________________________

โจ๊กน้ำต้มตับ 
ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดใส่ตับ เคี่ยวจนตับสุก และข้าวเปื่อย จากนั้นนำตับขึ้นมาแล้วครูดข้าวให้ ละเอียด 
หรือจะใช้วิธี นำตับมาสับให้ละเอียดก่อน จากนั้นค่อยนำไปต้มให้สุกแล้วกรองเอาน้ำต้มผสมกับข้าวบด 
________________________________________

น้ำซุปไข่แดง 
ต้มน้ำซุป ( หมูหรือไก่ ) กับผักกาด หรือผักเขียวชนิดใดก็ได้ ต้มจนผักสุก น้ำผักออกสีเขียว บดไข่แดงต้มสุก 
เติมน้ำซุปที่ต้มกับผัก ( เอาแต่น้ำ ) ลงไปเคี่ยวให้เละและเหลว 
________________________________________

ข้าวบดปลา 
- นำปลามาลอกหนังออกเลาะเอาแต่เนื้อ อย่าให้มีก้างติด นึ่งหรือต้มจนสุก 
- นำมาบดผสมกับข้าวบด หรือจะใช้ปลาดิบต้มผสมกับปลายข้าว แล้วนำมาบด ทีหลัง 
________________________________________

ฟักทองบด 
- ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุกนิ่ม ครูดผ่านนกระชอนหรือบดด้วยหลังช้อน 
- นำฟักทองใส่หม้อตุ๋น ยกขึ้นตั้งไฟตุ๋นให้ร้อน 
- เติมนมสด คนให้เข้ากัน หรืออาจเติมไข่แดงบด หรือเนยสด หรือน้ำซุปลงไปด้วยก็ได้ 
- สามารถเปลี่ยนฟักทอง เป็น มันฝรั่ง แครอท หัวไชเท้า 
________________________________________

ซุปเต้าหู้อ่อน 
ต้มแครอท ให้เละกรองเอาแต่น้ำ หั่นเต้าหู้ อ่อนเป็นชิ้น เล็ก ๆ บดละเอียดใส่ลงในหม้อ 
เติมน้ำซุป ต้มให้เดือด ละลายแป้งมันใส่เล็กน้อยคนพอสุกข้นยกขึ้น 
________________________________________

ขนมปังน้ำแอปเปิ้ล 
ต้มนมสดในหม้อตุ๋น พอเดือดใส่ขนมปังที่ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มด้วยไฟอ่อน จนขนมปังเละ 
นำแอปเปิ้ลบดละเอียดกรองเอาแต่น้ำเติมลงในหม้อขนมปังต้มนม 

*สำหรับน้ำแอปเปิ้ล อาจใช้น้ำผลไม้ที่มีรสหวานแทนก็ได้ เช่น น้ำองุ่น น้ำมะละกอ 
________________________________________

น้ำองุ่น (5 เดือน)
เครื่องปรุง
องุ่น 1 พวง
วิธีปรุง
- แช่องุ่นในน้ำสะอาด ทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างให้สะอาด
- ปลิดองุ่นทีละเม็ดออก ล้างให้สะอาด ลอกเปลือก แล้วผ่าแคะเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 
- ใช้ผ้าโปร่งที่สะอาด บิดคั้นเอาแต่น้ำ