กินปลา… มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด
จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม
เครือข่ายคนไทยไร้พุงให้ข้อมูลว่า คนไทยยังบริโภคปลากันน้อยเพียง 32 กิโลกรัมต่อปี ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบริโภค 50 กิโลกรัมต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กิโลกรัมต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมองซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์
กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ได้มีเพียงเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ปลาน้ำจืดในท้องถิ่นของเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง และบางชนิดสูงกว่าปลาทะเล เช่นปลาสวายเนื้อขาว มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ถึง 2,570 มิลลิกรัมต่อปลา 100 กรัม ปลาช่อนมี 870 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ปลากะพงมี 310 มิลลิกรัมต่อ100 กรัม
นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำว่า การกินปลาสม่ำเสมอจะได้กรดไขมันโอเมก้า 3เพียงพอ และสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า 2 มื้อต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามากินเพิ่ม เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแอสไพรินร่วมด้วย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ และปลาที่กินควรใช้วิธีการต้มหรือนึ่ง
ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้กินปลาน้ำจืดกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น