วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กินปลา… มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด



กินปลา มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด

          จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม
          เครือข่ายคนไทยไร้พุงให้ข้อมูลว่า  คนไทยยังบริโภคปลากันน้อยเพียง 32 กิโลกรัมต่อปี  ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบริโภค 50 กิโลกรัมต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กิโลกรัมต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ และมีกรดไขมันโอเมก้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมองซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์
          กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ได้มีเพียงเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ปลาน้ำจืดในท้องถิ่นของเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง และบางชนิดสูงกว่าปลาทะเล เช่นปลาสวายเนื้อขาว มีกรดไขมันโอเมก้า ถึง  2,570  มิลลิกรัมต่อปลา  100  กรัม ปลาช่อนมี  870  มิลลิกรัมต่อ  100  กรัม ปลากะพงมี 310 มิลลิกรัมต่อ100  กรัม
          นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำว่า การกินปลาสม่ำเสมอจะได้กรดไขมันโอเมก้า 3เพียงพอ และสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า มื้อต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามากินเพิ่ม     เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแอสไพรินร่วมด้วย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ และปลาที่กินควรใช้วิธีการต้มหรือนึ่ง
          ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้กินปลาน้ำจืดกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: