วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

S26

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

ข้อมูลโดย : คุณ เกศกนก สุกแดง นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ รพ.ศิริราช

          หลังกำเนิดจำนวนของเซลล์สมองนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก แต่เซลล์สมอง สามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก ผ่านการส่งเสริมให้เส้นใย ที่ส่งข้อมูลในสมองแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ผ่านการสร้างประสบการณ์

          ในขณะที่ส่วนของสมองที่เป็นเปลือกหุ้มเส้นใยสมอง หรือ นวมสมอง ที่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้จาก อาหาร และการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ อาหารจึงมีบทบบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมอง ดังนั้นจึงแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ และรับประทานให้หลากหลายโดยใช้หลักการของ ทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักการทางโภชนาการ ที่ช่วยให้เกิดการรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างไอคิวลูกได้จริงในชีวิตประจำวัน 

          ซึ่ง ทฤษฏี 7 กลุ่มอาหาร นี้ เป็นการบอกพื้นฐานทางโภชนาการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน โดยแนะนำให้ทานอาหาร 7 ชนิด ในหนึ่งวัน เป็นทฤษฎีจากสหรัฐอเมริกาที่ปฏิบัติตามได้ง่ายเหมาะกับยุคสมัย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน สมดุล เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีตามไปด้วยนั่นเองค่ะ

 7 กลุ่มอาหารสร้างพลังสมอง อย่าลืมรับประทานให้ครบกลุ่มทุกวันนะคะ

          เห็นประโยชน์ของ 7 กลุ่มอาหาร มากขนาดนี้ มารู้จักทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้างกันเถอะค่ะ 

           กลุ่มที่ 1 คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ผลิตภัณฑ์ข้าวแป้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี 

          กลุ่มที่ 2  ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี 

          กลุ่มที่ 3  มีใยอาหาร น้ำตาลฟรุตโตส วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารสีที่ดีต่อร่างกายและสมอง 

          กลุ่มที่ 4  ช่วยดูดซึมวิตามินเอ,ดี,อี,เค ที่ละลายในน้ำมัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท 

          กลุ่มที่ 5  โยเกิร์ต ชีส ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารต่าง ๆ 

          กลุ่มที่ 6  ที่ให้โปรตีนจากไข่ ปลา ไก่ หมู วัว อาหารทะเล ที่เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เสริมระบบภูมิต้านทาน และการพัฒนาสมอง 

          กลุ่มที่ 7  ที่มีแร่ธาตุวิตามินบางชนิดจากถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เต้าหู้ 

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลูกจะเป็นอย่างไร...ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน!!

ลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน

 
       สถาบันครอบครัวถือเป็นแหล่งแรกในการปลูกฝังความคิด ทัศนคติ ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของบุคคลแต่ละคนในสังคม โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นถือว่ามีหน้าที่หลักในการเป็นผู้นำในการหล่อหลอมพฤติกรรม ต่างๆของลูกโดยตรง ซึ่งหากพ่อแม่มีความรักซึ่งกันและกัน เอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจกัน ปฏิบัติดีต่อกัน ครอบครัวก็มีความมั่นคงอบอุ่น ลูกๆก็จะมีความสุข มีอารมณ์ดีและมีสุขภาพจิตดี แต่ถ้าหากพ่อแม่ไม่รักกัน ก้าวร้าวใส่กันและทะเลาะกันบ่อยๆ ครอบครัวก็จะเกิดความสั่นคลอน และจะส่งผลกระทบในทางร้ายต่อจิตใจและความรู้สึกของลูกได้ ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกว่าพ่อแม่ไม่รักกัน มีดังนี้
       
       1.ไม่ยอมรับความคิดเห็นหรือไม่เห็นด้วยกับทัศนคติของกันและกันในทุก ๆ ประการ
         การมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีทัศนคติไม่เหมือนกันถือเป็นเรื่องปกติของคนที่อยู่ร่วมกัน แต่หากเราได้เปิดใจยอมรับฟังเหตุผลของกันและกันแล้วและสามารถปรับความคิด เข้าหากันได้ในที่สุด ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะนั่นหมายความว่าเราต่างก็รักกันจึงยอมรับความแตก ต่างนั้นได้ แต่หากใครก็ตามโดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันอย่างคุณพ่อคุณแม่ หากมีปัญหาหรือมีเหตุให้คิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถยอมรับในเหตุผลของกัน และกันได้ในทุกๆกรณี และไม่มีใครยอมใคร แต่เอาอารมณ์และเหตุผลของตนเองเป็นใหญ่ หรือคุณพ่อคุณแม่บางคนมักทะเลาะเบาะแว้งกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่อง สากกะเบือยันเรือรบแล้ว นั่นถือว่าความสัมพันธ์คงไม่ปกติอีกต่อไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการที่ก่อนแต่งงานไม่ได้ใช้เวลาในการศึกษานิสัย ใจคอกันอย่างลึกซึ้งหรือคบหากันอย่างฉาบฉวยจึงไม่ได้รู้ลักษณะนิสัยของกัน และกันนั่นเอง
   
    
       2.คิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว
         การใช้ชีวิตอยู่เป็นครอบครัว ต้องไม่คิดถึงแต่ตนเองฝ่ายเดียว แต่ต้องคิดถึงคู่ของเรา หรือลูกของเราด้วยว่ามีความสุขดีหรือไม่อย่างไร มีสิ่งใดที่เขายังขาดเหลือและมีสิ่งใดที่เราจะทำให้เขาได้บ้างเพื่อทำให้เขา มีความสุข ดังนั้นหากคุณพ่อหรือคุณแม่คนใดเริ่มคิดถึงความสุขสมหวังของตนเองอย่างเดียว โดยไม่นึกถึงคนอื่นในครอบครัวแล้ว เช่น พอเงินเดือนออกก็คิดจะเปลี่ยนมือถือเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ไม่เคยคิดถึงค่าเทอมลูกที่ยังจ่ายไม่หมด หรือไม่เคยคิดถึงค่าใช้จ่ายต่างๆภายในบ้านเลย ปล่อยให้เป็นภาระของอีกฝ่าย เช่นนี้แล้วก็แสดงว่าเขารักแต่ตัวเองไม่รักคนอื่น
   
    
       3.นอกใจกัน
         เป็นปัญหาโลกแตกที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสามีมีเมียน้อย ภรรยามีชู้ หรือต่างฝ่ายต่างมีกิ๊ก ส่วนใหญ่พอเกิดปัญหามักจะอ้างว่าไม่ตั้งใจ แต่จริงๆแล้วเป็นทั้งความตั้งใจและทั้งเต็มใจ บางคนอยากลอง อยากท้าทาย อยากดูว่าตัวเองยังมีน้ำยาอยู่ไหม ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นแก่ตัว ไม่พอใจและไม่ภูมิใจสิ่งที่เป็นของเรา ซึ่งถือเป็นการไม่รักครอบครัวของเราเอง
    
    
       ปัญหาเรื่องพ่อแม่ไม่รักกันไม่ได้ส่งผลกระทบในทางร้ายต่อแค่พ่อและแม่เท่านั้น แต่มีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อลูก ๆ ด้วย ดังนี้
       
       1. ลูกขาดความสุข
         พ่อแม่บางคนมักนึกไม่ถึงว่าลูกสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ และสามารถรับรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันได้ เพราะเด็กๆแม้ยังเล็กเช่นอยู่ในวัยอนุบาลสามารถซึมซับทุกอย่างที่เกิดขึ้น รอบตัวเขาได้โดยเฉพาะกับบุคคลที่เขาใกล้ชิดด้วยอย่างพ่อแม่ลูกจะรับรู้ได้ ทุกอย่าง ดังนั้น การที่ลูกเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ทุ่มเถียงกัน เห็นแก่ตัวต่อกัน เป็นการสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆที่ยังพูดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นพ่อแม่ทะเลาะและใช้ความรุนแรงต่อกัน เด็กจะเกิดความกลัวและสับสน ทำให้ลูกเกิดความเครียดและส่งผลให้ลูกเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข เก็บตัว มีความเหงา ว้าเหว่อยู่ลึกๆ และความรู้สึกเหล่านี้จะฝังอยู่ในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของเขาไปจนโตเลย ทีเดียว
       
       2. มีอารมณ์รุนแรง
        ลูกที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ลงไม้ลงมือกัน ตบตี ด่าว่ากันด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย แน่นอนว่าลูกย่อมจะซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้มาจากพ่อแม่ ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นคนดื้อ หยาบคาย ก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายผู้อื่นและที่น่ากลัวคือจะมีการส่งต่อพฤติกรรมนี้ไปยังผู้อื่นต่อ ไปด้วย ดังตัวอย่างที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง เช่น กรณีนักเรียนตีกัน การข่มขืน การฆ่ากัน
       
       3. รู้สึกผิด
          ในเด็กเล็กๆนั้นจะมีความคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง(egocentrism) คือความคิดที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้นการที่ลูกเห็นว่าพ่อแม่ไม่รักกัน ชอบทะเลาะด่าว่ากัน นอกใจกัน ลูกก็จะสรุปเอาเองว่าตัวของเขาเป็นต้นเหตุ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เก็บกด ขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ กลัวต่อทุกอย่างบางคนอาจประชดชีวิตแบบผิดๆหรือหาทางออกให้ตนเองอย่างผิดๆ เช่น ติดยาเสพติด ส่ำส่อน บางคนมีความวิปริตทางเพศ ชอบโชว์อวัยวะเพศ หรือเป็นพวกถ้ำมอง
       
       4. มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อครอบครัว
         เด็กที่มาจากสภาพครอบครัวที่มีพ่อแม่ไม่รักกัน มีความขัดแย้งและขาดความเข้าใจในกันและกันจะส่งผลทำให้ลูกขาดความศรัทธาต่อ สถาบันครอบครัว ทำให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีทัศนคติในด้านลบต่อความเป็นครอบครัว หลายคนเกลียดการมีครอบครัว ไม่อยากมีชีวิตคู่ บางคนนิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆแต่ไม่ยอมผูกพันกับใครอย่างจริงจัง เพราะเห็นตัวอย่างที่พ่อแม่ไม่รักกันกัน จึงไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนพ่อแม่
    
   
       การมีครอบครัวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อนเพราะเป็นการผูกพันคนหลายคนให้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปจน ตลอดชีวิต แม้ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคบ้างแต่อยากให้ทุกคนที่ไม่ได้มีฐานะแค่เป็นสามี ภรรยา แต่มีฐานะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคนๆหนึ่งที่เราสร้างให้เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ ได้ตระหนักและคำนึงถึงจิตใจของลูกของเราว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากเขาต้องใช้ ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน ผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ไม่รักและไม่หวังดีกับลูก อย่าปล่อยให้ทิฐิ อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผล เหนือความรัก เหนือความเข้าใจและเหนือการให้อภัย หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีปัญหาก็ค่อยๆคุยกัน เช้านี้ไม่เข้าใจ เย็นนี้ก็ยังเข้าใจกันได้ และคำขอโทษเป็นคำที่มีค่าเสมอสำหรับความเป็นครอบครัวถ้าเรายังไม่อยากเสียคน ที่เรารักและรักเราไป


Manager online / ดร.แพง ชินพงศ์

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผักโขม พลังธรรมชาติเพื่อสุขภาพลูกน้อย

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"


       ผักโขมนั้นเป็นผักที่หลายๆประเทศทั่วโลกรู้จักกันมายาวนานแล้ว สำหรับในประเทศไทยเองก็นิยมกินผักโขมมานานเช่นกัน โดยผักโขมนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผักโขมบ้าน ผักโขมสวน และผักโขมจีน ซึ่งชนิดที่คนนิยมกินและมีวางขายทั่วไปก็คือผักโขมจีนนั่นเอง
  
     สำหรับประโยชน์ของผักโขมนั้นก็มีมากมายไม่แพ้ผักชนิดไหนๆ

       เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย เป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน
     แม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีเบต้าแคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอลเลสเทอรอลในเลือดได้อีกด้วย นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

       ผักโขมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารแบบไทยๆ อย่างแกงจืด แกงเลียง ผัดน้ำมัน หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนยอดฮิตอย่างผักโขมอบชีส ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของหลายๆ คนเช่นกัน 



กินปลา… มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด



กินปลา มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด

          จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม
          เครือข่ายคนไทยไร้พุงให้ข้อมูลว่า  คนไทยยังบริโภคปลากันน้อยเพียง 32 กิโลกรัมต่อปี  ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบริโภค 50 กิโลกรัมต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กิโลกรัมต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ และมีกรดไขมันโอเมก้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมองซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์
          กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ได้มีเพียงเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ปลาน้ำจืดในท้องถิ่นของเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง และบางชนิดสูงกว่าปลาทะเล เช่นปลาสวายเนื้อขาว มีกรดไขมันโอเมก้า ถึง  2,570  มิลลิกรัมต่อปลา  100  กรัม ปลาช่อนมี  870  มิลลิกรัมต่อ  100  กรัม ปลากะพงมี 310 มิลลิกรัมต่อ100  กรัม
          นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำว่า การกินปลาสม่ำเสมอจะได้กรดไขมันโอเมก้า 3เพียงพอ และสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า มื้อต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามากินเพิ่ม     เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแอสไพรินร่วมด้วย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ และปลาที่กินควรใช้วิธีการต้มหรือนึ่ง
          ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้กินปลาน้ำจืดกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

"ปลาช่อน" ปลาไทยๆให้คุณค่าโอเมก้า 3

ปลาช่อน

          เป็นปลาน้ำจืดที่ควรเริ่มให้ลูกกินเมื่ออายุ 6-8 เดือน

          คุณสมบัติพิเศษ :  เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น ๆ และถ้าอยากทำอาหารให้อร่อย ต้องเอาไปทอดเลาะหนังออก จะได้เนื้อที่ฟูนุ่มไปปรุงอาหาร หรือหั่นเป็นท่อน ต้มน้ำซุปก็อร่อยไม่เบา

          การเลือกซื้อ : ความสดของปลาช่อนสังเกตจากเกร็ด มีสีใส เรียงตัวแน่น ไม่หลุดลอก แต่ถ้าเกร็ดหลุดง่าย และไม่ติดแน่นแสดงว่าปลาไม่สด


รู้เรื่องโอเมก้า 3

          กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างเนื้อเยื่อร่างกาย อีกทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาสมองและดวงตา แต่กรดโอเมก้า 3 นี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 และอาหารที่มีกรดไขมันชนิดนี้มากที่สุด ก็คือ ปลาทะเล เช่น ปลากะพง ปลาทู ฯลฯ และปลาน้ำจืดอย่าง ปลาช่อน นอกจากนี้ยังสามารถกินน้ำมันปลาที่สกัดมาจากหัวและส่วนต่าง ๆ ของปลา ก็จะได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 เหมือนกันค่ะ

ปรุงปลาอย่างมืออาชีพ

          แค่ได้ยินว่า "ปลา" คุณแม่หลายคนอาจถึงกับร้องโอย เพราะทำยาก แถมเจ้าตัวเล็กยังไม่ค่อยชอบกินด้วย ปรุงเมนูปลาให้ลูกเล็กกินใช่เรื่องง่ายซะที่ไหน จริงไหมคะ แต่ถ้าคุณแม่รู้เทคนิคต่อไปนี้ จะมีเมนูปลาให้เบบี๋เลือกอีกมากมายเชียวล่ะ...

         ต้องทอดปลาด้วยไฟแรงและใช้เวลาน้อย เพราะถึงหนังปลาข้างนอกจะกรอบหรือเกรียม แต่เนื้อปลาข้างในจะสุกพอดี คุณแม่เลาะหนังออกเอาเนื้อนุ่ม ๆ ไปปรุงอาหารอื่นต่อได้

         ถ้าคุณแม่กลัวว่า ปลาตัวใหญ่จะสุกไม่ทั่วทั้งตัวให้บั้งหรือแบ่งครึ่ง และถ้าไม่ห่วงเรื่องความสวยงามก็เอาไม้เล็ก ๆ จิ้มทั่วตัว เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าไปขณะทอดปลาก็สุกทั่วตัวแล้วล่ะ

         ใช้น้ำมะนาวทาตัวปลา จะทำให้ไม่ติดกระทะ และลดกลิ่นคาวของปลาลงได้

         เวลาต้มปลาควรต้มน้ำซุปให้เดือด ค่อยนำปลาลงไปต้ม ปิดฝา และห้ามคนเพราะกรดอะมิโนในเนื้อปลาจะแตกตัว ทำให้ปลามีกลิ่นคาว ควรปล่อยให้ปลาค่อย ๆ สุกเองค่ะ

         ใบตะไคร้ ใบเตย หรือเกลือเม็ดใหญ่ จะช่วยล้างเมือกของปลาให้สะอาดขึ้น

         สำหรับเบบี๋คุณแม่ดับกลิ่นคาวปลาได้ด้วย ผักและเครื่องเทศบางชนิด เช่น ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ข่าอ่อน เพียงเล็กน้อย เป็นต้น


ปริมาณแนะนำต่อวัน


 อายุ     ลักษณะเนื้อปลา ปริมาณต่อมื้อ ปริมาณต่อวัน หมายเหตุ
 (เดือน) (ช้อนโต๊ะ) (ช้อนโต๊ะ)
6-8

8-10

10 ขึ้นไป
บดละเอียด

 บดละเอียด

ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ ย่าง ทอดน้ำมันน้อย ๆ
1

1

1

 1

 2

 3

รวมอยู่ในอาหารเสริม 1 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 2 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 3 มื้อ