วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อหนูร้องกรี๊ดไม่มีเหตุผล

สารพันปัญหาเด็ก..ตอน..กรี๊ด


     บ้านไหนมีเด็ก คนในบ้านนั้นก็ต้องทำใจต่อเสียงร้องไห้ โวยวาย แต่ถ้าเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก นับวันมีบ่อย ๆ ขึ้น และเกิดวันละหลายครั้ง ก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


สาเหตุที่เด็กกรี๊ด


1. เป็นการแสดงออกถึงความโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด อาจจะเป็นภาวะปกติในช่วงที่เด็กยังพูดได้ไม่เก่ง (วัย 1 – 3 ปี) ที่เด็กยังแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่พอใจออกมา เมื่อเติบโตขึ้น พฤติกรรมการกรี๊ดร้อง จะลดลงจนหายไปหมด แต่เด็กจะพูดออกมา ถึงความต้องการหรือคับข้องใจเพิ่มขึ้น
2. เป็นการเรียนรู้ถึงอิทธิพลจากการกรี๊ด ซึ่งทำให้เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เพราะมีผู้คอยเสริมหรือคอยให้ท้าย พร้อมที่จะยินยอมทำตามเด็กทุกอย่าง


3. เลียนแบบพฤติกรรมชอบกรี๊ดจากผู้ใหญ่ 

4. มีคนยั่วแหย่ให้เด็กโกรธบ่อย ๆ

5. การเลี้ยงดูที่ตามใจมาก ส่งเสริมให้เด็กเอาแต่ใจตัวเอง ไม่สอนให้หัดควบคุมอารมณ์ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ



6. เป็นการเรียกร้องความสนใจ

7. ขาดทักษะในการช่วยเหลือตนเอง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ดี


วิธีการแก้ไข


1. ให้ความสำคัญต่อเด็ก เมื่อขณะที่ยังไม่กรี๊ด หรือแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนกรี๊ดได้กรี๊ดดีอยู่ตลอดเวลา แต่พบได้บ่อยในเด็กที่เวลาประพฤติกรรมตัวดี ๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ หรือชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีและเหมาะสมแล้ว แต่พอเด็กกรี๊ดออกมาเท่านั้น ผู้ใหญ่จะรีบวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบหรือให้ความสำคัญ หรือเข้าไปดุ ว่า ตี สั่งสอน ฯลฯ แต่ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเด็กเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจ


2. ในกรณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ทุกอย่างต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวาย เด็กลักษณะนี้มักจะถูกเลี้ยงดูโดยการตามใจเด็กมากเกินไป จนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด โดยที่พ่อแม่และพี่เลี้ยงจะพยายามทำทุกอย่างตามที่เด็กต้องการ เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้ และเด็กเองก็เรียนรู้ถึงอิทธิพลของการโวยวายกรี๊ดร้องว่าจะใช้เป็น “ไม้ตาย” เวลาไม่ได้ดั่งใจ เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเลี้ยงดูเด็กใหม่อย่าคิดว่าการทำทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เด็กร้องไห้นั้น จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมีคนรักคนชอบมากมาย เด็กเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์ ลดการตามใจ ฝึกให้ช่วยตนเองเพิ่มขึ้น สิ่งใดที่เล่นไม่ได้ก็อย่าให้เล่นถึงแม้ว่าเด็กจะอาละวาดขนาดไหน ก็อย่าสนใจ แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น


3. ลดการยั่วแหย่เด็ก หรือทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น


4. ในกรณีที่มีผู้ใหญ่ที่ชอบกรี๊ด หรือโวยวายเป็นต้นแบบของวิธีที่จะเอาแต่ใจตัวเอง จำเป็นต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อลดแบบอย่าง ถ้าเป็นไปได้กรณีที่เปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ต้องแยกเด็กให้ห่างออกมา

5. ฝึกให้เด็กควบคุมอารมณ์ อารมณ์รัก ชอบ ดีใจ ไม่พอใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ เป็นอารมณ์ที่พบได้ในเด็กวัย 3 – 5 ปี หน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนให้เด็กรู้ทันว่าตนเองรู้สุกอย่างไร และฝึกให้หัดควบคุมอารมณ์ หรือฝึกวิธีระบายอารมณ์ ซึ่งมีหลายวิธีตั้งแต่การพูดคุย การทำสิ่งทดแทน เช่นโกรธจัด ๆ ก็ไปเตะฟุตบอล หรือว่ายน้ำ หรือวาดรูปเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น

6. เพิ่มทักษะในการเล่น เช่น การว่ายน้ำ เล่นบอล ถีบจักรยาน วาดรูป เล่นตุ๊กตา เล่นขายของ ฯลฯ เพราะการเล่นในเด็กมีความหมายเท่ากับการทำงานของผู้ใหญ่ ในชีวิตจริงเราพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโรธแค้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่การเล่นและการทำกิจกรรมจะทำให้เด็กผ่านภาวะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ได้มีเวลาไตร่ตรอง และระบายความรู้สึกผ่านการเล่นนี้เอง

7. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ปัญหาของเด็ก 3 – 5 ปี มักหนีไม่พ้นปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ทำน้ำหก ติดกระดุมเขย่ง หารองเท้าไม่พบ ฯลฯ การฝึกหัดให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลทำให้เด็กมีความชำนาญที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ผิดหวังได้เก่งกว่าเด็กที่ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งก็คงทำได้แค่ส่งเสียงกรี๊ด ๆ รอให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลืออีกตามเคย


สารพันปัญหาเด็ก
พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์

พัฒนาการลูกน้อยวัย 5 เดือน

พัฒนาการปกติ เดือนที่ 5    “ พลิกตัวคล่อง”

       ลูกควรจะมีน้ำหนักตัวประมาณ 2 เท่าของแรกเกิดเมื่ออายุ 4-5 เดือน ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกนั้น เด็กจะโตเร็ว และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 800 – 1,000 กรัม แต่หลังจาก เข้าเดือนที่ 5 น้ำหนักจะเริ่มขึ้นช้าลง โดยอาจจะเพิ่มประมาณ 500-600 กรัม ต่อเดือน และต่อมา จะเหลือเพียง 200-400 กรัม ต่อเดือน หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว    

     ลูกควรจะพลิกตัวคว่ำหงายได้คล่อง และชอบที่จะอยู่ในท่านั่ง มากกว่าท่านอน ลูกจะเริ่มใช้มือร่วมกับสายตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น จะเริ่มจับสิ่งของ บางครั้งจะกำของแน่นด้วยมือทั้ง 2 ข้าง และชอบที่จะเอาของต่างๆ ใส่เข้าไปในปากเพื่อเรียนรู้ ลูกจะยังไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งของที่เห็นอยู่ต่อหน้ากับสิ่งของที่ถูกซ่อนไว้ แม้ว่าลูกจะมองเห็นว่าคุณซ่อนของชิ้นนั้นต่อหน้าเขา


     ลูกจะชอบที่จะพบปะผู้คน จะส่งเสียงต่างๆ ได้อย่างน่ารัก และยังชอบทำท่าทางเลียนแบบคนที่กำลังเล่นกับเขา ลูกจะทำเสียงสูง เสียงต่ำ และเริ่มออกเสียง ที่พอจับความหมายได้ เช่น คำว่า “ดา” “มา” ท่าทีที่คุณตอบสนองต่อการส่งเสียงของเขา จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ลูกสนุก กับการส่งเสียงต่างๆมากขึ้น ซึ่งช่วงนี้ ก็เป็นโอกาสในการตรวจเช็คการได้ยินของลูกไปด้วย เพราะความสามารถในการพัฒนาการด้านภาษานั้น จะขึ้นกับการได้ยินเสียงต่างๆ โดยเฉพาะเสียงพูดของคนรอบข้าง

     อาหารที่ลูกทาน ก็มีความสำคัญ เพราะในช่วงนี้ จะพบว่าปริมาณของธาตุเหล็ก ที่มีสะสมมาในตอนแรกเกิด จะเริ่มลดน้อยลงจากการที่ลูกมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็ว ดังนั้นควรให้นมที่มีธาตุเหล็กเสริม (ซึ่งนมทารกส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาด ก็มีการเสริมธาตุเหล็กอยู่แล้ว) และในทารกที่เลี้ยงด้วยนมมารดา อาจต้องการธาตุเหล็กเพิ่ม จากอาหารเสริม และการให้รับประทานไวตามิน ที่มีธาตุเหล็ก (ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนพิจารณาการให้ธาตุเหล็ก)

     ลูกจะทานอาหารได้ดีขึ้น แต่ในการเลือกชนิดอาหารที่จะป้อนลูก ยังต้องระวังเรื่องการแพ้สารอาหารบางชนิด จึงยังต้องคอยเอาใจใส่เสมอ บางครั้งลูกจะมัวแต่สนใจที่จะเล่น ทำให้การป้อนอาหาร ใช้เวลานานมาก และบางครั้งก็จะเริ่มอมข้าว ในรายที่ทานอาหารได้ดี จะเห็นว่าการทานนม จะน้อยลงบ้าง ซึ่งเป็นปกติ ทั้งนี้เพราะในอาหารของลูก ที่คุณป้อนนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการ และมีปริมาณของแคลอรี่ และสารอาหารที่ครบถ้วนอยู่แล้ว  

     หลังจากนี้ไม่นาน เด็กบางคนจะเริ่มแยกแยะระหว่างคนที่เขาคุ้นเคย กับคนแปลกหน้า ทำให้เขาเริ่มกลัว หรือร้องไห้ เมื่อเจอคนแปลกหน้า ที่เรียกว่า “stranger anxiety” ลูกจะต้องการเวลาสำหรับทำความคุ้นเคย และสังเกตคนแปลกหน้า ที่เริ่มเข้ามาอยู่ใกล้เขา ถ้าคนๆนั้นไม่มีท่าทีที่จะเป็นอันตราย หรือตรงเข้ามาหาเขาทันที ให้เวลาให้ลูกได้ยอมรับเขา ลูกก็จะไม่เกิดความกลัว แต่ถ้าคนๆนั้นทำเสียงดัง หรือมีท่าทางที่จะทำให้ลูกตกใจ ก็จะเกิดการร้อง หรือกลัวขึ้นทันที ดังนั้นควรที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่จะเข้ามาหาคุณพ่อคุณแม่ ในขณะที่อยู่กับลูก จะเข้าใจ และพูดคุยกับคุณโดยไม่ทำท่าให้ความสนใจเด็กมากนัก เพื่อให้เด็กได้เกิดความวางใจก่อน จึงค่อยเล่นกับเด็กทีหลัง

     นอกจากนี้ ลูกเริ่มที่จะทำอะไรได้หลายอย่างขึ้น คุณจึงควรเตรียมตัว ที่จะสอนให้เขารู้ถึงกฎเกณฑ์บางอย่างที่ง่ายๆ ได้ เพราะลูกพอจะรู้ จากการสังเกตสีหน้าท่าทาง และน้ำเสียงของคุณว่าคุณ “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” ในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ซึ่งต้องอาศัยเวลา, ความเข้าใจ และความสม่ำเสมอ ในการฝึกฝนอีกสักพักใหญ่ ก่อนที่เด็กจะเรียนรู้ว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการอบรมเลี้ยงดูลูกในอนาคต อย่างที่เรียกว่า “Discipline” นั่นเอง


พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม


หนจะ้เป็นเด็ก เก่ง ดี และมีความสุขได้อย่างไร

เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี มีความสุข



คุณพ่อคุณแม่เป็นคนสำคัญมากครับที่จะช่วยฝึกฝนให้ลูกรักเป็นทั้งคนเก่งและคนดี แถมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปพร้อมๆ กัน โดยผ่านกิจกรรมที่ทำร่วมกันด้วยความรักและความเข้าใจ
และการฝึกที่ดีนั้นควรเริ่มทำกันแต่เล็กนี่ล่ะครับ เพราะลูกจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกบังคับ แต่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำอยู่ แล้ว ซึ่งการฝึกตั้งแต่เล็กนั้นจะทำให้ฝึกได้ง่ายกว่าตอนโตครับ และการฝึกก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร โดยเริ่มจาก...

  • ใส่ใจให้เวลา...ช่วยลูกเป็นคนเก่ง
เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญครับ นอกจากคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาให้กับลูกแล้ว ยังต้องให้เวลาลูกในการคิด การเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจผ่านกิจวัตรประจำวันของลูก ได้แก่
  • ฝึกลูกช่วยตัวเองได้ตามวัย เช่น ให้ลูกกินข้าวเอง อาบน้ำแต่งตัวเองโดยที่พ่อแม่ให้เวลาและคอยดูอยู่ห่างๆ ฝึกให้ลูกเข้าห้องน้ำเองได้ และเปิดโอกาสให้เขาวิ่งเล่นโดยกำหนดขอบเขต และบอกให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเองได้
  • ให้โอกาสลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองก่อน ถ้าทำไม่สำเร็จหรือยังทำได้ไม่ดี พ่อแม่ค่อยเข้าไปช่วย เช่น ให้ลูกลองช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าช่วยทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ให้ลูกได้ลองทำด้วยตัวเองก่อน อาจจะยังไม่ดี แต่ก็ให้ลูกได้เริ่มต้นที่จะทำอะไรด้วยตนเอง อย่าลืมให้กำลังใจและคำชมเมื่อลูกทำได้ดีด้วยครับ
  • พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในการคิด ด้วยการพูดกับลูกเมื่อมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เช่น เมื่อคุณแม่เลือกเสื้อผ้าให้ลูก ก็บอกเหตุผลให้ลูกรู้ว่าทำไมคุณแม่ถึงเลือกเสื้อตัวนี้ให้ เพราะว่าอากาศร้อน หนูจะได้ใส่บาย ไม่ร้อน
  • ใช้สิ่งที่พบเห็นประจำวันสอนลูกให้เรียนรู้ เช่น พาไปตลาดแล้วฝึกให้ลูกสังเกตความแตกต่างของสิ่งของ พืช ผัก ผลไม้ ฝึกให้ลูกนับเงินทอง เป็นต้น

  • ความดี ช่วยลูกประสบความสำเร็จ
ความดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกรู้จักปรับตัวในสังคมและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
  • เริ่มต้นด้วย การเป็นแบบอย่างที่ดี คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำครับ ต่อให้คุณพ่อคุณแม่สอนลูกทุกวันแต่คุณกลับไม่ทำซะเอง ลูกก็จะเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ที่กระทำเรื่องนั้นๆ เช่น สอนลูกให้เก็บรองเท้าให้เป็นระเบียบ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทำให้เป็นระเบียบเช่นกัน
  • ให้ลูกได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นๆ เช่น ช่วยเหลือเพื่อน ช่วยคุณครูถือ หรือช่วยพ่อแม่ดูแลน้อง ทำความสะอาดบ้าน และอย่าลืมให้กำลังใจและคำชมกับลูกด้วย
  • สอนเรื่องของวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย เช่น การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ มีความเกรงอกเกรงใจ รู้จักกาลเทศะ และมีความกตัญญูรู้คุณ รวมถึงอาศัยหลักธรรมทางศาสนาเข้ามาสอนด้วย เช่น สวดมนต์ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตา เป็นต้น
  • เล่านิทานเป็นสื่อในการทำความดี เลือกนิทานที่สอนให้เห็นถึงการทำความดีและการเป็นเด็กไม่ดีจะมีผลเช่นไรบ้าง เพื่อให้ลูกซึมซับและรู้สึกว่าความดีเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

  • มีความสุข...ต้องปรับตัวได้ดี
ระเบียบและกฎเกณฑ์อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องฝืนใจอยู่บ้าง เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และถ้าคุณฝึกลูกตั้งแต่ยังเล็ก เขาจะไม่รู้สึกว่าโดนบังคับแต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำด้วยความเต็มใจ
  • ฝึกให้ลูกยอมรับกฎเกณฑ์ ในบ้าน ในสังคม อาจจะมีบางเรื่องที่ลูกไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำ เช่น การจำกัดเวลาการดูทีวี ลูกอาจจะอยากดูมากกว่าเวลาที่กำหนด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใจแข็ง และให้เหตุผลของการจำกัดเวลา รวมทั้งต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
  • ฝึกระเบียบในบ้าน ให้ลูกรู้จักระเบียบวินัยและทำอะไรเป็นเวลา เช่น กินอาหารให้เป็นที่เป็นทาง ตื่นนอนและเข้านอนให้เป็นเวลา เสื้อผ้าที่ใส่แล้วก็ต้องใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย ของเล่นเล่นแล้วก็ต้องเก็บให้เป็นระเบียบ เป็นต้น
  • ฝึกระเบียบในสังคม เช่น สอนให้ลูกรู้จักการเข้าคิวรอคอย สอนให้ลูกข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือสะพานลอย ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน
  • ฝึกให้รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองและแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น เวลาที่ลูกอยากได้ของเล่น แล้วพ่อแม่ไม่ซื้อให้พ่อแม่ก็ต้องให้เหตุผลและเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อไม่ให้ลูกเอาแต่ใจร้องกรี๊ดๆ ในที่สาธารณะ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
นอกจากการมีเวลาในการทำกิจกรรมเพื่อฝึกฝนให้ลูกเป็นคนเก่ง ดี มีสุข คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความหนักแน่นและอดทน เพราะการสอนเด็กเล็กๆ ให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลาและการปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ซึ่งจะเหมาะกับลูกมากกว่าการสอนด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว











เมนูลูกรักวัย 4-5 เดือน

ข้าวครูด 
เครื่องปรุง
ปลายข้าว 2ชต.
น้ำ 2 ถ .
วิธีทำ
1. ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดหรี่ไฟ เคี่ยวจนข้าวสุกและเปื่อย หรืออาจจะตุ๋นก็ได้โดยใช้หม้อตุ๋น 2 ชั้น
2. นำมาครูดด้วยกระชอนตาถี่ๆ หรืออาจบดด้วยหลังช้อนจนละเอียดมาก ข้าวครูดนี้อาจใช้ป้อนทารกโดยเติมน้ำ ต้มผัก หรือบดกับกล้วยน้ำว้าสุกก็ได้ 

*ก่อนครูดข้าวต้องล้างกระชอนให้สะอาด และลวกด้วยน้ำร้อน
________________________________________

ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด 
ข้าวบด 
ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดหรี่ไฟ เคี่ยวจนเปื่อย หรือใช้หม้อตุ๋น 2ชั้นก็ได้ 
บดข้าวในกระชอนตาถี่ หรือบดข้าวในผ่านผ้าขาวบาง หรือหลังช้อนก็ได้ 
น้ำแกงจืด 
ใช้ผักใบเขียวชนิดใดก็ได้ ยกเว้นบางชนิดที่มีกลิ่นแรงเช่น ผักชี ใบหอม ขึ้นฉ่าย กุยช่าย 
ล้างให้สะอาด ซอยละเอียด ต้มในน้ำด้วยไฟแรงจนสีเขียวของผักออก กรองเอาแต่น้ำ 
________________________________________

กล้วยน้ำว้าครูด 
กล้วยน้ำว้าสุกเปลือกเหลืองค่อนข้างงอม ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกด้านที่จะครูดก่อน เพื่อมือจะได้ไม่สัมผัสด้านที่ยังไม่ได้ครูดใช้ช้อนครูดเอาแต่เฉพาะผิวๆ บดให้ละเอียด แล้วนำไปครูดผ่านกระชอนหรือผ้าขาวบางอีกครั้ง 
กล้วยน้ำว้าครูดนี้สามารถให้ทานเปล่าๆ หรือนำไปผสมกับข้าวบดก็ได้ 
________________________________________

ข้าวบดกับนม 
- ผสมนมตามปกติ แล้วเทใส่หม้อ ตั้งไฟพอให้ร้อน 
- ใส่ข้าวบด ( ข้าว 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ นม 1/3ถ้วย ) คนให้เข้ากัน ยกลง
- แล้วเติมนมอีก1ช้อนโต๊ะ คนให้ทั่ว 
________________________________________

ข้าวบดใส่ไข่แดง 
- ต้มไข่จนสุก ( ประมาณ 20 นาที ) เอาแต่ไข่แดงที่สุกจริง ๆ มาบดกับข้าว 
- ครั้งแรกควรเริ่มให้ไข่แดงแค่ ประมาณ1/4ก่อน 

*ไข่แดงต้องเป็นไข่แดงสุกจริง ๆ เพราะหากเป็นยางมะตูม จะย่อยยาก 
________________________________________

ข้าวบดถั่วเขียว 
นำถั่วเขียวเลาะเปลือกล้างสะอาด แช่น้ำเดือดประมาณ 20 นาที ต้มจนเปื่อย 
กรองเอาน้ำออก บดให้ละเอียด ผสมกับข้าวหรือจะผสมกับนมที่ให้ทานก็ได้ 
________________________________________

โจ๊กน้ำต้มตับ 
ต้มปลายข้าวกับน้ำ พอเดือดใส่ตับ เคี่ยวจนตับสุก และข้าวเปื่อย จากนั้นนำตับขึ้นมาแล้วครูดข้าวให้ ละเอียด 
หรือจะใช้วิธี นำตับมาสับให้ละเอียดก่อน จากนั้นค่อยนำไปต้มให้สุกแล้วกรองเอาน้ำต้มผสมกับข้าวบด 
________________________________________

น้ำซุปไข่แดง 
ต้มน้ำซุป ( หมูหรือไก่ ) กับผักกาด หรือผักเขียวชนิดใดก็ได้ ต้มจนผักสุก น้ำผักออกสีเขียว บดไข่แดงต้มสุก 
เติมน้ำซุปที่ต้มกับผัก ( เอาแต่น้ำ ) ลงไปเคี่ยวให้เละและเหลว 
________________________________________

ข้าวบดปลา 
- นำปลามาลอกหนังออกเลาะเอาแต่เนื้อ อย่าให้มีก้างติด นึ่งหรือต้มจนสุก 
- นำมาบดผสมกับข้าวบด หรือจะใช้ปลาดิบต้มผสมกับปลายข้าว แล้วนำมาบด ทีหลัง 
________________________________________

ฟักทองบด 
- ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุกนิ่ม ครูดผ่านนกระชอนหรือบดด้วยหลังช้อน 
- นำฟักทองใส่หม้อตุ๋น ยกขึ้นตั้งไฟตุ๋นให้ร้อน 
- เติมนมสด คนให้เข้ากัน หรืออาจเติมไข่แดงบด หรือเนยสด หรือน้ำซุปลงไปด้วยก็ได้ 
- สามารถเปลี่ยนฟักทอง เป็น มันฝรั่ง แครอท หัวไชเท้า 
________________________________________

ซุปเต้าหู้อ่อน 
ต้มแครอท ให้เละกรองเอาแต่น้ำ หั่นเต้าหู้ อ่อนเป็นชิ้น เล็ก ๆ บดละเอียดใส่ลงในหม้อ 
เติมน้ำซุป ต้มให้เดือด ละลายแป้งมันใส่เล็กน้อยคนพอสุกข้นยกขึ้น 
________________________________________

ขนมปังน้ำแอปเปิ้ล 
ต้มนมสดในหม้อตุ๋น พอเดือดใส่ขนมปังที่ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มด้วยไฟอ่อน จนขนมปังเละ 
นำแอปเปิ้ลบดละเอียดกรองเอาแต่น้ำเติมลงในหม้อขนมปังต้มนม 

*สำหรับน้ำแอปเปิ้ล อาจใช้น้ำผลไม้ที่มีรสหวานแทนก็ได้ เช่น น้ำองุ่น น้ำมะละกอ 
________________________________________

น้ำองุ่น (5 เดือน)
เครื่องปรุง
องุ่น 1 พวง
วิธีปรุง
- แช่องุ่นในน้ำสะอาด ทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างให้สะอาด
- ปลิดองุ่นทีละเม็ดออก ล้างให้สะอาด ลอกเปลือก แล้วผ่าแคะเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 
- ใช้ผ้าโปร่งที่สะอาด บิดคั้นเอาแต่น้ำ