วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ที่เราอาจลืมสอนลูก


เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ที่เราอาจลืมสอนลูก
ที่มา: http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N10267027/N10267027.html (mrs.night owl 22 ก.พ. 54 10:53:11)

รวบรวมคำสอนต่างๆ จากในกระทู้นะคะ 

1. ลูกดิฉันสามขวบครึ่งเเล้ว เดี๋ยวนี้เริ่มสอนให้ ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เพราะดูจากตัวเอง ตอนเด็ก ไม่มีใครสอน โตขึ้นมาหัดเป็นเรื่องลำบากมาก เลยอยากทำให้ลูกติดเป็นนิสัย สอนโดยเราทำให้เขาเห็น เขาจะอยากทำด้วย จากนั้นก็ช่วยลูกขัดฟัน เสร็จเเล้วให้เขาลองทำดูเอง ขัดฟันสำคัญมาก จะทำให้เหงือกสุขภาพดี

2. สอนลูกเรื่อง ทำตัวอย่างไร เมื่อทำของแตก ไม่เคยสอนเพราะไม่ได้นึกถึง จนวันหนึ่ง ลูกทำแก้วเเตกบนพื้น เขาตกใจ วิ่งมาหาเเม่ ซึ่งอันตรายมาก โชคดี ไม่โดนแก้วบาด จากนั้นสอนลูกเลยว่า เมื่อทำของแตก ให้อยู่กับที่ เเล้วเรียกแม่ให้มาช่วย

3. สอนใหลูกจำที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ชื่อเต็ม ตัวเอง และพ่อแม่ เผื่อหลงทาง เผื่อกรณีฉุกเฉิน เหล่านี้ช่วยเขาได้ตอนฉุกเฉิน สอนเบอร์ฉุกเฉิน เมื่อต้องการความช่วยเหลือ (เบอร์โทรศัพท์ ดิฉันต้องพูดซ้ำหลายครั้งกว่าจะจำได้ แต่ถ้าจำได้เเล้วเขาไม่ลืม )

4. สอนลูกเรื่องทำไฟไหม้ ถ้าไฟไหม้ ให้รีบหนีออกไปรอด้านนอก อย่าตามหาพ่อแม่ ให้ออกไปเร็วที่สุด เเล้วเรียกพ่อแม่จากด้านนอก

5. หากเห็นสัตว์เลี้ยง ให้ถามเจ้าของเขาก่อน ว่าเล่นได้ไหม จับได้ไหม ห้ามจับเองเด็ดขาดเพราะสัตว์บางอย่าง มันกัดเอาได้

6. นอกเขตลูก ไม่รบกวนผู้อื่นค่ะ เขตลูก คือ บริเวณที่พ่อ แม่ ลูก กำหนดไว้ว่าเป็นที่ของหนู ตรงนี้จะช่วยได้หลายเรื่องค่ะ เช่น ไปร้านอาหาร เขตลูกคือ โต๊ะอาหาร ไม่เดินเล่นเสียงดังในร้าน ไม่ยื่นหน้า ไปโต๊ะอื่น ส่งเสียงดัง ก็ถือเป็นการรบกวนโต๊ะอื่น เพราะ เราสุดเบื่อ เวลาไปร้านอาหาร หรือที่สาธารณะ แล้วเจอเด็กๆ ส่งเสียงดัง ยื่นมือ ยื่นหน้ามาบริเวณโต๊ะอาหารของเราค่ะ เลยไม่อยากให้ลูกไปทำ

หรือ ในร้านหนังสือ เราจะบอกลูกว่า เขตของร้านนะ ไม่ใช่เขตของลูก หนังสือไม่ใช่ของเรา จับหนังสืออย่างระมัดระวัง เราเคยเห็นเด็กๆนั่งอ่านกับพื้น จนท่านอื่นเข้าไปเลือกหนังสือไม่ได้ และบางคน แกะ sticker มาแปะเล่นด้วย สังเกตุว่า หลังรู้ขอบเขตตัวเอง ลูกก็เคารพผู้อื่นค่ะ 

7. เวลามีผู้ใหญ่ยิ้มให้ ให้ยกมือไหว้ทุกครั้ง

8. เวลายกมือไหว้ ควรยิ้มด้วยทุกครั้ง ไม่ทำหน้าหงิกหน้างอในขณะยกมือไหว้

9. เดินผ่านผู้ใหญ่ต้องค้อมตัวเสมอ

10.ใครให้ขนมทาน ให้รับไว้แต่อย่าแกะทานทันที ให้เอามาให้ป๊าหรือแม่ดูให้ก่อนเสมอ

11. เป็นเด็กผู้หญิง อย่าเดินไปไหนตามลำพังเพียงคนเดียว สถานที่ที่จะไปควรมีผู้ใหญ่ที่รู้จักหรือไว้ใจได้อยู่แถวนั้นเสมอ

12. ทุกคนล้วนแต่มีหน้าที่ความรับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น ป๊ากับแม่มีหน้าที่ทำงานเลี้ยงดูเรา เราก็มีหน้าที่ตั้งใจเรียน และเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่

13. คำพูดที่สุภาพ และการมีสัมมาคารวะจะทำให้หนูเป็นเด็กที่มีแต่คนรัก ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของหนู

14. ไม่ว่าโตขึ้นไปอยากจะเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร การที่หนูตั้งใจเรียนจะทำให้หนูได้เป็นอย่างที่หวัง 

15. ไม่ใช้เท้า เขี่ยของ หรือปิดพัดลม (หุ หุ อันนี้เคยเผลอใช้ เจ้าลูกชายเห็นครั้งเดียว จำได้ เอาไปทำตามเลย)

16. ถึงจะเป็นลูกชาย แต่ไม่เคยใช้เท้าเตะ หรือเล่นกับลูก เพราะกลัวว่า ลูกจะเห็นเรื่องการเตะต่อยเป็นเรื่องปกติของลูกผู้ชาย (คิดมากไปเองหรือป่าวไม่รู้นะ แต่เราคิดแบบนี้อ่ะ)

17. สอนลูกให้รู้จักงานบ้าน เราซื้อของเล่นที่เป็นพวกชุดครัว เตารีด ครก มีดหั่นผัก เพราะเราอยากให้ลูกเราคุ้นกับมัน เพื่อโตขึ้น เค้าจะได้ไม่เกี่ยงงานพวกนี้ว่า เป็นงานของผู้หญิง

18. ทุกครั้งที่เจอพระ เจอรูปในหลวง จะสอนให้ลูกไหว้ เพื่อให้ลูกเคารพ และรักในสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์

19. สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน โดยการให้ลูกแบ่งของเล่น ของกิน พาไปให้อาหารปลา ให้เงินไปหยอดตามตู้รับบริจาค

20. สอนว่า ถ้้าไม่เสพยาที่อาจเพื่อนเลวๆ บางคนให้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เป็นลูกผู้ชาย สร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้ลูก

21. สอนเวลาลูกทำน้ำ นม หรืออะไรก็ตามหกเลอะเทอะบนพื้น จะบอกกับเขาว่า ทำหกเลอะเทอะแล้วต้องทำความสะอาดนะลูก ก็ทำให้เขาเห็น หลังๆ ลูกเขาก็จะทำเอง กินนมกินน้ำแล้วทำหกเขาก็ไปหาผ้ามาเช็ดมาถู (ก็สะอาดได้แบบเด็กๆ ค่ะ)

22. บอกลูกว่า เวลาไฟดับ ให้อยู่นิ่งๆ ส่งเสียงบอก ว่าอยู่ตรงไหน แต่อย่าเดินมาหาแม่ หรือ พ่อ พ่อแม่ จะเดินไปหาเอง และ พยายามพูดคุยกับเค้า อย่าเงียบ เพื่อลดความกลัวค่ะ 

23. เวลาถือแก้ว ให้เดินระมัดระวังกว่าปกติ เพราะหากแก้วแตก ไม่เพียงแต่แก้วแตก แต่ลูกอาจจะได้รับอุบัติเหตุแก้วบาดได้

24. อาบน้ำเสร็จ ให้เช็ดเท้าให้แห้ง ก่อนเดินไปไหนๆ โดยเฉพาะเดินลงบันได เพราะพื้นจะลื่น อาจเกิดอุบัติเหตุได้

25. เวลาไปบ้านญาติ หรือบ้านที่ไม่คุ้นเคย ห้ามวิ่งเล่น ซุกซนมาก เพราะมีหลานคนนึง เคยประสบอุบัติเหตุชนบานประตูกระจก มันใสมาก เค้าไม่ทราบว่านั่นคือบานประตูกระจก เค้าวิ่งผ่านเลยค่ะ

26. เวลาได้ยินเพลงชาติให้ยืนตรงและสำรวม พอจบเพลงให้โค้งทำความเคารพ
ตอนนี้ลูกทำเองได้โดยไม่ต้องบอก ดนตรีมาก็ลุกยืน เพลงจบก็โค้ง

27. ล้างมือ ล้างเท้าทุกครั้งที่กลับเข้าบ้าน (กลับจากโรงเรียน ไปเที่ยวเล่น) หลังจากเข้าห้องน้ำไปฉี่-อึมา

28. เก็บรองเท้า ถุงเท้าเองให้เรียบร้อย

29. สอนให้สั่งน้ำมูก เพราะถ้าสั่งน้ำมูกไม่เป็น เวลาเป็นหวัดเด็กจะสูดน้ำมูก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหูอักเสบได้ง่าย

30. ไม่ให้รับของของคนอื่น ต้องขออนุญาตพ่อ แม่ก่อนเสมอ

31. แปรงฟันก่อนเข้านอน และหลังแปรงฟันแล้วงดทานอาหารหรือขนมทุกชนิด ตอนเช้าให้เค้าแปรงเองได้

32. ขอบคุณทุกครั้งที่มีคนทำอะไรให้ ทุกวันนี้ ลูกชายเวลาขอบใจน้อง จะพูดว่า"น้องครับ ขอบใจครับ" ฟังแล้วขำมาก

33. ให้ลูกรู้จักการรอคอยค่ะ

34. ให้ลูกรู้จักการเข้าคิว ห้ามแซงคิวคนอื่นเด็ดขาด

35. เวลาเค้าเล่นของเล่นเราจะสอนให้เก็บค่ะ ตอนนี้ก็รู้จักเก็บบ้างแล้ว 

36. เคารพกฎกติกาต่อตัวเองและผู้อื่น

37.ไม่โกหก

38.ไม่เอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

39. ทำผิด ให้ขอโทษ .... ให้พูดว่าขอโทษค่ะ แล้วยกมือไหว้ แล้วพูดให้เค้าเข้าใจว่าทำผิดอะไรไป แม่ไม่ได้โกรธ แม่รักมากด้วย อย่าลืมกอดเค้านะคะเวลาสอน เพราะลูกเราเค้าชอบให้กอด มันจะไม่เหมือนดุ ยังอุ่นใจอยู่ ทั้งๆที่คนทำผิดยังร้องไห้ ผงกหัวหงิดๆ แต่ตั้งใจฟังที่สอน

40. ถอดเสื้อผ้าออกมาแล้ว ให้เอาใส่ตระกร้า ไม่มีคนเก็บให้แล้ว

41. สอนให้รับผิดชอบกับภาระที่ตัวเองสร้างไว้ ในระดับที่เหมาะสมกับอายุ เช่น ตื่นแล้วต้องพับผ้าห่มของตัว โตกว่านี้ก็ต้องซักผ้าปูที่นอนเอง ถอดเสื้อผ้า ต้องเอาไปใส่ตะกร้า โตกว่านี้แล้วค่อยซักเอง กินข้าวเสร็จ ต้องเอาจานไปใส่ในซิงค์ โตกว่านี้แล้วค่อยล้างเอง

42. สอนไม่ให้หลงเชื่อโฆษณา เช่น กินเครื่องดื่มนี่ นมนั่น แล้วจะฉลาด หรือโฆษณาที่อิงค่านิยม เช่น ผิวต้องขาว แม้แต่จั๊กกะแร้ก็ต้องขาว ดำแล้วผู้ชายไม่มอง ฯลฯ มีลูกสาว ถึงไม่ดำ แต่ก็ไม่อยากให้มีค่านิยมผิดๆ ไปจนถึงให้ความสำคัญกับสายตาผู้ชายมากกว่าคุณค่าของตัวเอง

43. สอนให้ล้างก้นโดยเช็ดจากหน้าไปหลังเสมอ สำคัญมากโดยเฉพาะผู้หญิง

44. เราภูมิใจในตัวเองที่สอนเค้าได้ และลูกสามารถทำได้คือ "ไม่เอาค่ะ ขอบคุณค่ะ" 

45. เรื่องไหว้ กลับมาจากโรงเรียนหรือเจอหน้าใครก็ต้องยกมือไหว้ แม้แต่แม่บ้านก็ให้ไหว้เช่นกัน เพราะเค้าก็เป็นผู้ใหญ่กว่าม่าม๊า และเค้าก็คอยช่วยดูแลหนู เวลาม่าม๊าไม่อยู่

46. เรื่องกินข้าวกินขนม ปกติเราจะไม่ให้ลูกกินขนมก่อนกินข้าว เพราะถ้าลูกกินขนมแล้วจะอิ่มจนไม่ยอมกินข้าว ปัจจุบันลูกเราก็เลยกินข้าวก่อน แล้วถึงจะตามด้วยขนม

47. เรื่องทำบุญใส่บาตร เวลาพาลูกไปใส่บาตร เราจะสอนให้เค้าอธิษฐานให้บุญกุศลที่ได้ทำ ส่งถึงเทวดาประจำพระองค์และเจ้ากรรมนายเวรของหนู ให้ได้รับผลบุญนี้ไปด้วย

48. เรื่องกับข้าวใส่บาตร เราสอนลูกว่า กับข้าวที่นำไปใส่บาตรนั้น จะต้องใส่กับข้าวดีๆ ใส่กับข้าวที่น่ากินหรือใส่กับข้าวที่เราชอบกิน เพราะพระจะได้ฉันท์กับข้าวที่ดีๆ อร่อยๆ และพี่ๆ ที่เป็นเด็กวัดจะได้กินของดีๆด้วย และกับข้าวที่เราใส่ไปนั้นอาจจะไปถึงเราให้ได้กินในชาติหน้าก็ได้นะลูก

49. เรื่องไฟฟ้า (เน้นที่เครื่องทำน้ำอุ่น) ปกติเวลาเราอาบน้ำลูกจะใช้เครื่องทำน้ำอุ่นบ่อยๆ แต่เราจะต้องลองใช้มือแตะดูก่อนว่ามีไฟรั่วหรือเปล่า โดยให้ลูกยืนอยู่ห่างๆ แล้วบอกลูกว่าหากเห็นม่าม๊าล้มลง ให้ออกไปสับเบรคเกอร์ลง(เบรคเกอร์อยู่หน้าห้องน้ำ) แล้วห้ามมาใกล้ๆ ม่าม๊า ให้โทรหาปาป๊าทันที(ลูกเราจำเบอร์โทรศัพท์ของเรากับแฟนได้)

50. จะสอนให้รู้จักคำว่าทุกข์ เสียใจ และวิธีการคิดที่จะทำให้ก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี โดยไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างค่ะ

51. สอนให้รักษาความดีอย่างเกลือรักษาความเค็ม คนทำได้ต้องได้ดี มีแน่นอน

52. สอนให้รักตนเองให้เป็นก่อนที่จะรักใคร 

53. สอนให้รู้จักศีลห้า เขาจะรู้ว่าห้ามฆ่าสัตว์ รู้ด้วยว่าห้ามมีกิ๊ก ชอบถามว่ากิ๊กคืออะไร อีกข้อที่ใช้ได้ผลเสมอคือ ห้ามขโมย ทุกอย่างต้องขออนุญาตก่อน

54. สอนให้ไหว้พระก่อนนอน เขาสวดมนต์บทนะโมตัสสะได้ตอนสองขวบกว่า แล้วก็สวดอิติปิโสจบบทได้ตอนสามขวบ

55. สอนให้ใช้เสียงเบาๆ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ ถ้าเขาเห็นเด็กร้องไห้ในร้านอาหาร เขาก็จะหันมาบอกว่า แม่ ทำไมเขาโวยวาย ไม่น่ารักเลย

56. เรื่องเพศ คำเรียกเครื่องเพศ ต้องสอนว่าเป็นคำนามอย่างหนึ่ง แต่ไม่ควรพูด เพราะฟังดูไม่เพราะ เด็กคงคิดว่าเป็นคำยากสำหรับผู้ใหญ่เลยเอามาพูด

57. เรื่องแย่งของให้เทคเทิร์น ใช้ได้ผลทุกครั้งเวลามีเด็กสองคนขึ้นไป ให้เขาดูนาฬิกา หรือนับเลข ว่าหากถึงเลขนี้เเล้ว ต้องเปลี่ยนให้อีกคนเล่น

58. เรียนรู้ที่จะ ผิดหวัง และ เสียใจ โดยสอนให้รู้จักคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เขา พยายามจัดการกับความรู้สีกด้านลบ ด้วยตัวเองบ้างค่ะ โดยมีเราเป็นคนปลอบ และ อธิบายให้เข้าใจ

59. สอนให้รักคนแก่ คนเฒ่า ให้ยกมือไหว้ได้ทุกคนตั้งแต่ คนกวาดถนนจนถึงญาติผู้ใหญ่

60. สอนว่าเราไม่ได้อยู่กับเค้าไปตลอด อาจไม่อยู่พรุ่งนี้วันนี้เลยก็เป็นได้
ให้คิดดูว่าถ้าไม่มีเราเค้าจะต้องทำอะไรได้เองบ้าง

61. สอนให้รู้จักแพ้ และต้องแพ้ให้เป็น

62. สอนให้รู้จักอาวุโส แต่คนอาวุโสกว่าก็ทำผิดได้เหมือนเด็ก เวลาผู้ใหญ่สั่งหรือเตือนให้ลองทำตาม แล้วดูว่าถูก ผิด เหมาะ สม กับ ตัวเองหรือไม่ 

63 สอนเรื่อง ระงับความโกรธ เพราะ คนหนึ่งโกรธแล้วชอบร้องไห้ อีกคนโกรธแล้วจะโมโห ทำร้ายคนอื่น ก็ต้องสอนให้ รู้ว่าตอนนี้โกรธแล้วนะ บอกให้เขารู้ และให้เขาบอกออกมาว่า โกรธ และสอนเขาต่อว่า ทำยังไงดี 

64. สอนเรื่องข้ามถนน สอนแกว่าก่อนข้ามถนนให้ดูซ้าย ดูขวาก่อนทุกครั้งว่ามีรถหรือเปล่า

65. สอนให้หาคำตอบเอง เวลาเด็กๆ มีคำถาม ครูก็จะถามกลับ ว่า นั่นสินะ แล้วเราจะหาคำตอบได้จากไหนบ้างล่ะนี่ เอนไซโคปีเดีย จะมีไม๊นะ แล้วมันควรจะอยู่ในหมวดไหน คือค่อยๆ ไกด์เด็กไปเรื่อยๆ แล้วให้เด็กค้นพบคำตอบเอง (สมัยนี้ คงกูเกิ้ลไปเลย) 

66. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้ทำอะไรด้วยตัวเองก่อน อย่าไปหวังพึ่งคนอื่น ไม่มีใครทำอะไรได้ดั่งใจเรา ถึงเราจำเป็นต้องไหว้วานให้คนอื่นทำให้ ก็ต้องเผื่อใจกับความผิดหวังด้วย แค่เค้าทำให้เรา เราก็ควรดีใจ ขอบคุณเค้าแล้ว

67. เมื่อเกิดปัญหาอะไร ให้มองย้อนมาที่ตัวเราก่อน ว่าเราทำอะไรตรงไหนผิดพลาดหรือป่าว อย่ามัวแต่ไปหาความผิด หรือโทษคนอื่น และพยายามหาทางแก้ไข ไม่ใช่มัวแต่ไปโมโห ว่าคนโน้น คนนี้ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเสียเวลา และอาจเสียเพื่อน

68. ถ้าสงสัย หรือมีปัญหาอะไร ถึงปัญหาจะ้เกิดจากลูก ก็ให้คิดถึงพ่อ แม่ก่อน เข้ามาถาม มาปรึกษาได้ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะพ่อ แม่ รักหนูที่สุด ไม่มีทางจะแนะนำสิ่งที่ไม่ดีให้กับหนู และพร้อมจะให้อภัยหนูเสมอ

69. คำสอน คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เป็นเรื่องจริง

70. ความ กตัญญู กตเวที และความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งสำคัญมาก ทำให้เราเจริญขึ้น ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เรารู้ตัวเองว่าเป็นอย่างไร โกหกตัวเองไม่ได้หรอก

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

S26

ไอคิวของลูก เพิ่มได้ง่าย ๆ ด้วย 7 กลุ่มอาหาร

ข้อมูลโดย : คุณ เกศกนก สุกแดง นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ รพ.ศิริราช

          หลังกำเนิดจำนวนของเซลล์สมองนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก แต่เซลล์สมอง สามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก ผ่านการส่งเสริมให้เส้นใย ที่ส่งข้อมูลในสมองแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ผ่านการสร้างประสบการณ์

          ในขณะที่ส่วนของสมองที่เป็นเปลือกหุ้มเส้นใยสมอง หรือ นวมสมอง ที่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้จาก อาหาร และการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ อาหารจึงมีบทบบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมอง ดังนั้นจึงแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ และรับประทานให้หลากหลายโดยใช้หลักการของ ทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักการทางโภชนาการ ที่ช่วยให้เกิดการรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างไอคิวลูกได้จริงในชีวิตประจำวัน 

          ซึ่ง ทฤษฏี 7 กลุ่มอาหาร นี้ เป็นการบอกพื้นฐานทางโภชนาการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน โดยแนะนำให้ทานอาหาร 7 ชนิด ในหนึ่งวัน เป็นทฤษฎีจากสหรัฐอเมริกาที่ปฏิบัติตามได้ง่ายเหมาะกับยุคสมัย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน สมดุล เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีตามไปด้วยนั่นเองค่ะ

 7 กลุ่มอาหารสร้างพลังสมอง อย่าลืมรับประทานให้ครบกลุ่มทุกวันนะคะ

          เห็นประโยชน์ของ 7 กลุ่มอาหาร มากขนาดนี้ มารู้จักทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้างกันเถอะค่ะ 

           กลุ่มที่ 1 คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ผลิตภัณฑ์ข้าวแป้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี 

          กลุ่มที่ 2  ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี 

          กลุ่มที่ 3  มีใยอาหาร น้ำตาลฟรุตโตส วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารสีที่ดีต่อร่างกายและสมอง 

          กลุ่มที่ 4  ช่วยดูดซึมวิตามินเอ,ดี,อี,เค ที่ละลายในน้ำมัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท 

          กลุ่มที่ 5  โยเกิร์ต ชีส ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารต่าง ๆ 

          กลุ่มที่ 6  ที่ให้โปรตีนจากไข่ ปลา ไก่ หมู วัว อาหารทะเล ที่เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เสริมระบบภูมิต้านทาน และการพัฒนาสมอง 

          กลุ่มที่ 7  ที่มีแร่ธาตุวิตามินบางชนิดจากถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เต้าหู้ 

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลูกจะเป็นอย่างไร...ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน!!

ลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน

 
       สถาบันครอบครัวถือเป็นแหล่งแรกในการปลูกฝังความคิด ทัศนคติ ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของบุคคลแต่ละคนในสังคม โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นถือว่ามีหน้าที่หลักในการเป็นผู้นำในการหล่อหลอมพฤติกรรม ต่างๆของลูกโดยตรง ซึ่งหากพ่อแม่มีความรักซึ่งกันและกัน เอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจกัน ปฏิบัติดีต่อกัน ครอบครัวก็มีความมั่นคงอบอุ่น ลูกๆก็จะมีความสุข มีอารมณ์ดีและมีสุขภาพจิตดี แต่ถ้าหากพ่อแม่ไม่รักกัน ก้าวร้าวใส่กันและทะเลาะกันบ่อยๆ ครอบครัวก็จะเกิดความสั่นคลอน และจะส่งผลกระทบในทางร้ายต่อจิตใจและความรู้สึกของลูกได้ ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกว่าพ่อแม่ไม่รักกัน มีดังนี้
       
       1.ไม่ยอมรับความคิดเห็นหรือไม่เห็นด้วยกับทัศนคติของกันและกันในทุก ๆ ประการ
         การมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีทัศนคติไม่เหมือนกันถือเป็นเรื่องปกติของคนที่อยู่ร่วมกัน แต่หากเราได้เปิดใจยอมรับฟังเหตุผลของกันและกันแล้วและสามารถปรับความคิด เข้าหากันได้ในที่สุด ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะนั่นหมายความว่าเราต่างก็รักกันจึงยอมรับความแตก ต่างนั้นได้ แต่หากใครก็ตามโดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันอย่างคุณพ่อคุณแม่ หากมีปัญหาหรือมีเหตุให้คิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถยอมรับในเหตุผลของกัน และกันได้ในทุกๆกรณี และไม่มีใครยอมใคร แต่เอาอารมณ์และเหตุผลของตนเองเป็นใหญ่ หรือคุณพ่อคุณแม่บางคนมักทะเลาะเบาะแว้งกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่อง สากกะเบือยันเรือรบแล้ว นั่นถือว่าความสัมพันธ์คงไม่ปกติอีกต่อไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการที่ก่อนแต่งงานไม่ได้ใช้เวลาในการศึกษานิสัย ใจคอกันอย่างลึกซึ้งหรือคบหากันอย่างฉาบฉวยจึงไม่ได้รู้ลักษณะนิสัยของกัน และกันนั่นเอง
   
    
       2.คิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว
         การใช้ชีวิตอยู่เป็นครอบครัว ต้องไม่คิดถึงแต่ตนเองฝ่ายเดียว แต่ต้องคิดถึงคู่ของเรา หรือลูกของเราด้วยว่ามีความสุขดีหรือไม่อย่างไร มีสิ่งใดที่เขายังขาดเหลือและมีสิ่งใดที่เราจะทำให้เขาได้บ้างเพื่อทำให้เขา มีความสุข ดังนั้นหากคุณพ่อหรือคุณแม่คนใดเริ่มคิดถึงความสุขสมหวังของตนเองอย่างเดียว โดยไม่นึกถึงคนอื่นในครอบครัวแล้ว เช่น พอเงินเดือนออกก็คิดจะเปลี่ยนมือถือเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ไม่เคยคิดถึงค่าเทอมลูกที่ยังจ่ายไม่หมด หรือไม่เคยคิดถึงค่าใช้จ่ายต่างๆภายในบ้านเลย ปล่อยให้เป็นภาระของอีกฝ่าย เช่นนี้แล้วก็แสดงว่าเขารักแต่ตัวเองไม่รักคนอื่น
   
    
       3.นอกใจกัน
         เป็นปัญหาโลกแตกที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสามีมีเมียน้อย ภรรยามีชู้ หรือต่างฝ่ายต่างมีกิ๊ก ส่วนใหญ่พอเกิดปัญหามักจะอ้างว่าไม่ตั้งใจ แต่จริงๆแล้วเป็นทั้งความตั้งใจและทั้งเต็มใจ บางคนอยากลอง อยากท้าทาย อยากดูว่าตัวเองยังมีน้ำยาอยู่ไหม ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นแก่ตัว ไม่พอใจและไม่ภูมิใจสิ่งที่เป็นของเรา ซึ่งถือเป็นการไม่รักครอบครัวของเราเอง
    
    
       ปัญหาเรื่องพ่อแม่ไม่รักกันไม่ได้ส่งผลกระทบในทางร้ายต่อแค่พ่อและแม่เท่านั้น แต่มีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อลูก ๆ ด้วย ดังนี้
       
       1. ลูกขาดความสุข
         พ่อแม่บางคนมักนึกไม่ถึงว่าลูกสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ และสามารถรับรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันได้ เพราะเด็กๆแม้ยังเล็กเช่นอยู่ในวัยอนุบาลสามารถซึมซับทุกอย่างที่เกิดขึ้น รอบตัวเขาได้โดยเฉพาะกับบุคคลที่เขาใกล้ชิดด้วยอย่างพ่อแม่ลูกจะรับรู้ได้ ทุกอย่าง ดังนั้น การที่ลูกเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ทุ่มเถียงกัน เห็นแก่ตัวต่อกัน เป็นการสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆที่ยังพูดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นพ่อแม่ทะเลาะและใช้ความรุนแรงต่อกัน เด็กจะเกิดความกลัวและสับสน ทำให้ลูกเกิดความเครียดและส่งผลให้ลูกเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข เก็บตัว มีความเหงา ว้าเหว่อยู่ลึกๆ และความรู้สึกเหล่านี้จะฝังอยู่ในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของเขาไปจนโตเลย ทีเดียว
       
       2. มีอารมณ์รุนแรง
        ลูกที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ลงไม้ลงมือกัน ตบตี ด่าว่ากันด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย แน่นอนว่าลูกย่อมจะซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้มาจากพ่อแม่ ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นคนดื้อ หยาบคาย ก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายผู้อื่นและที่น่ากลัวคือจะมีการส่งต่อพฤติกรรมนี้ไปยังผู้อื่นต่อ ไปด้วย ดังตัวอย่างที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง เช่น กรณีนักเรียนตีกัน การข่มขืน การฆ่ากัน
       
       3. รู้สึกผิด
          ในเด็กเล็กๆนั้นจะมีความคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง(egocentrism) คือความคิดที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้นการที่ลูกเห็นว่าพ่อแม่ไม่รักกัน ชอบทะเลาะด่าว่ากัน นอกใจกัน ลูกก็จะสรุปเอาเองว่าตัวของเขาเป็นต้นเหตุ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เก็บกด ขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ กลัวต่อทุกอย่างบางคนอาจประชดชีวิตแบบผิดๆหรือหาทางออกให้ตนเองอย่างผิดๆ เช่น ติดยาเสพติด ส่ำส่อน บางคนมีความวิปริตทางเพศ ชอบโชว์อวัยวะเพศ หรือเป็นพวกถ้ำมอง
       
       4. มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อครอบครัว
         เด็กที่มาจากสภาพครอบครัวที่มีพ่อแม่ไม่รักกัน มีความขัดแย้งและขาดความเข้าใจในกันและกันจะส่งผลทำให้ลูกขาดความศรัทธาต่อ สถาบันครอบครัว ทำให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีทัศนคติในด้านลบต่อความเป็นครอบครัว หลายคนเกลียดการมีครอบครัว ไม่อยากมีชีวิตคู่ บางคนนิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆแต่ไม่ยอมผูกพันกับใครอย่างจริงจัง เพราะเห็นตัวอย่างที่พ่อแม่ไม่รักกันกัน จึงไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนพ่อแม่
    
   
       การมีครอบครัวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อนเพราะเป็นการผูกพันคนหลายคนให้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปจน ตลอดชีวิต แม้ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคบ้างแต่อยากให้ทุกคนที่ไม่ได้มีฐานะแค่เป็นสามี ภรรยา แต่มีฐานะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคนๆหนึ่งที่เราสร้างให้เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ ได้ตระหนักและคำนึงถึงจิตใจของลูกของเราว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากเขาต้องใช้ ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน ผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ไม่รักและไม่หวังดีกับลูก อย่าปล่อยให้ทิฐิ อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผล เหนือความรัก เหนือความเข้าใจและเหนือการให้อภัย หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีปัญหาก็ค่อยๆคุยกัน เช้านี้ไม่เข้าใจ เย็นนี้ก็ยังเข้าใจกันได้ และคำขอโทษเป็นคำที่มีค่าเสมอสำหรับความเป็นครอบครัวถ้าเรายังไม่อยากเสียคน ที่เรารักและรักเราไป


Manager online / ดร.แพง ชินพงศ์

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผักโขม พลังธรรมชาติเพื่อสุขภาพลูกน้อย

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"


       ผักโขมนั้นเป็นผักที่หลายๆประเทศทั่วโลกรู้จักกันมายาวนานแล้ว สำหรับในประเทศไทยเองก็นิยมกินผักโขมมานานเช่นกัน โดยผักโขมนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผักโขมบ้าน ผักโขมสวน และผักโขมจีน ซึ่งชนิดที่คนนิยมกินและมีวางขายทั่วไปก็คือผักโขมจีนนั่นเอง
  
     สำหรับประโยชน์ของผักโขมนั้นก็มีมากมายไม่แพ้ผักชนิดไหนๆ

       เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย เป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน
     แม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีเบต้าแคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอลเลสเทอรอลในเลือดได้อีกด้วย นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

       ผักโขมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารแบบไทยๆ อย่างแกงจืด แกงเลียง ผัดน้ำมัน หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนยอดฮิตอย่างผักโขมอบชีส ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของหลายๆ คนเช่นกัน 



กินปลา… มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด



กินปลา มีประโยชน์ มากกว่าที่คิด

          จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม
          เครือข่ายคนไทยไร้พุงให้ข้อมูลว่า  คนไทยยังบริโภคปลากันน้อยเพียง 32 กิโลกรัมต่อปี  ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบริโภค 50 กิโลกรัมต่อปี ญี่ปุ่นบริโภค 69 กิโลกรัมต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ และมีกรดไขมันโอเมก้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ กระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมองซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาทในเด็กและทารกในครรภ์
          กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ได้มีเพียงเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ปลาน้ำจืดในท้องถิ่นของเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง และบางชนิดสูงกว่าปลาทะเล เช่นปลาสวายเนื้อขาว มีกรดไขมันโอเมก้า ถึง  2,570  มิลลิกรัมต่อปลา  100  กรัม ปลาช่อนมี  870  มิลลิกรัมต่อ  100  กรัม ปลากะพงมี 310 มิลลิกรัมต่อ100  กรัม
          นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำว่า การกินปลาสม่ำเสมอจะได้กรดไขมันโอเมก้า 3เพียงพอ และสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า มื้อต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามากินเพิ่ม     เพราะการได้รับน้ำมันปลาเสริมมากเกินไป อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแอสไพรินร่วมด้วย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ และปลาที่กินควรใช้วิธีการต้มหรือนึ่ง
          ในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้กินปลาน้ำจืดกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

"ปลาช่อน" ปลาไทยๆให้คุณค่าโอเมก้า 3

ปลาช่อน

          เป็นปลาน้ำจืดที่ควรเริ่มให้ลูกกินเมื่ออายุ 6-8 เดือน

          คุณสมบัติพิเศษ :  เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น ๆ และถ้าอยากทำอาหารให้อร่อย ต้องเอาไปทอดเลาะหนังออก จะได้เนื้อที่ฟูนุ่มไปปรุงอาหาร หรือหั่นเป็นท่อน ต้มน้ำซุปก็อร่อยไม่เบา

          การเลือกซื้อ : ความสดของปลาช่อนสังเกตจากเกร็ด มีสีใส เรียงตัวแน่น ไม่หลุดลอก แต่ถ้าเกร็ดหลุดง่าย และไม่ติดแน่นแสดงว่าปลาไม่สด


รู้เรื่องโอเมก้า 3

          กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างเนื้อเยื่อร่างกาย อีกทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาสมองและดวงตา แต่กรดโอเมก้า 3 นี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 และอาหารที่มีกรดไขมันชนิดนี้มากที่สุด ก็คือ ปลาทะเล เช่น ปลากะพง ปลาทู ฯลฯ และปลาน้ำจืดอย่าง ปลาช่อน นอกจากนี้ยังสามารถกินน้ำมันปลาที่สกัดมาจากหัวและส่วนต่าง ๆ ของปลา ก็จะได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 เหมือนกันค่ะ

ปรุงปลาอย่างมืออาชีพ

          แค่ได้ยินว่า "ปลา" คุณแม่หลายคนอาจถึงกับร้องโอย เพราะทำยาก แถมเจ้าตัวเล็กยังไม่ค่อยชอบกินด้วย ปรุงเมนูปลาให้ลูกเล็กกินใช่เรื่องง่ายซะที่ไหน จริงไหมคะ แต่ถ้าคุณแม่รู้เทคนิคต่อไปนี้ จะมีเมนูปลาให้เบบี๋เลือกอีกมากมายเชียวล่ะ...

         ต้องทอดปลาด้วยไฟแรงและใช้เวลาน้อย เพราะถึงหนังปลาข้างนอกจะกรอบหรือเกรียม แต่เนื้อปลาข้างในจะสุกพอดี คุณแม่เลาะหนังออกเอาเนื้อนุ่ม ๆ ไปปรุงอาหารอื่นต่อได้

         ถ้าคุณแม่กลัวว่า ปลาตัวใหญ่จะสุกไม่ทั่วทั้งตัวให้บั้งหรือแบ่งครึ่ง และถ้าไม่ห่วงเรื่องความสวยงามก็เอาไม้เล็ก ๆ จิ้มทั่วตัว เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าไปขณะทอดปลาก็สุกทั่วตัวแล้วล่ะ

         ใช้น้ำมะนาวทาตัวปลา จะทำให้ไม่ติดกระทะ และลดกลิ่นคาวของปลาลงได้

         เวลาต้มปลาควรต้มน้ำซุปให้เดือด ค่อยนำปลาลงไปต้ม ปิดฝา และห้ามคนเพราะกรดอะมิโนในเนื้อปลาจะแตกตัว ทำให้ปลามีกลิ่นคาว ควรปล่อยให้ปลาค่อย ๆ สุกเองค่ะ

         ใบตะไคร้ ใบเตย หรือเกลือเม็ดใหญ่ จะช่วยล้างเมือกของปลาให้สะอาดขึ้น

         สำหรับเบบี๋คุณแม่ดับกลิ่นคาวปลาได้ด้วย ผักและเครื่องเทศบางชนิด เช่น ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ข่าอ่อน เพียงเล็กน้อย เป็นต้น


ปริมาณแนะนำต่อวัน


 อายุ     ลักษณะเนื้อปลา ปริมาณต่อมื้อ ปริมาณต่อวัน หมายเหตุ
 (เดือน) (ช้อนโต๊ะ) (ช้อนโต๊ะ)
6-8

8-10

10 ขึ้นไป
บดละเอียด

 บดละเอียด

ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ ย่าง ทอดน้ำมันน้อย ๆ
1

1

1

 1

 2

 3

รวมอยู่ในอาหารเสริม 1 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 2 มื้อ

รวมอยู่ในอาหารหลัก 3 มื้อ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อหนูร้องกรี๊ดไม่มีเหตุผล

สารพันปัญหาเด็ก..ตอน..กรี๊ด


     บ้านไหนมีเด็ก คนในบ้านนั้นก็ต้องทำใจต่อเสียงร้องไห้ โวยวาย แต่ถ้าเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก นับวันมีบ่อย ๆ ขึ้น และเกิดวันละหลายครั้ง ก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


สาเหตุที่เด็กกรี๊ด


1. เป็นการแสดงออกถึงความโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด อาจจะเป็นภาวะปกติในช่วงที่เด็กยังพูดได้ไม่เก่ง (วัย 1 – 3 ปี) ที่เด็กยังแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่พอใจออกมา เมื่อเติบโตขึ้น พฤติกรรมการกรี๊ดร้อง จะลดลงจนหายไปหมด แต่เด็กจะพูดออกมา ถึงความต้องการหรือคับข้องใจเพิ่มขึ้น
2. เป็นการเรียนรู้ถึงอิทธิพลจากการกรี๊ด ซึ่งทำให้เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เพราะมีผู้คอยเสริมหรือคอยให้ท้าย พร้อมที่จะยินยอมทำตามเด็กทุกอย่าง


3. เลียนแบบพฤติกรรมชอบกรี๊ดจากผู้ใหญ่ 

4. มีคนยั่วแหย่ให้เด็กโกรธบ่อย ๆ

5. การเลี้ยงดูที่ตามใจมาก ส่งเสริมให้เด็กเอาแต่ใจตัวเอง ไม่สอนให้หัดควบคุมอารมณ์ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ



6. เป็นการเรียกร้องความสนใจ

7. ขาดทักษะในการช่วยเหลือตนเอง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ดี


วิธีการแก้ไข


1. ให้ความสำคัญต่อเด็ก เมื่อขณะที่ยังไม่กรี๊ด หรือแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนกรี๊ดได้กรี๊ดดีอยู่ตลอดเวลา แต่พบได้บ่อยในเด็กที่เวลาประพฤติกรรมตัวดี ๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ หรือชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีและเหมาะสมแล้ว แต่พอเด็กกรี๊ดออกมาเท่านั้น ผู้ใหญ่จะรีบวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบหรือให้ความสำคัญ หรือเข้าไปดุ ว่า ตี สั่งสอน ฯลฯ แต่ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเด็กเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจ


2. ในกรณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ทุกอย่างต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวาย เด็กลักษณะนี้มักจะถูกเลี้ยงดูโดยการตามใจเด็กมากเกินไป จนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด โดยที่พ่อแม่และพี่เลี้ยงจะพยายามทำทุกอย่างตามที่เด็กต้องการ เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้ และเด็กเองก็เรียนรู้ถึงอิทธิพลของการโวยวายกรี๊ดร้องว่าจะใช้เป็น “ไม้ตาย” เวลาไม่ได้ดั่งใจ เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเลี้ยงดูเด็กใหม่อย่าคิดว่าการทำทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เด็กร้องไห้นั้น จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมีคนรักคนชอบมากมาย เด็กเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์ ลดการตามใจ ฝึกให้ช่วยตนเองเพิ่มขึ้น สิ่งใดที่เล่นไม่ได้ก็อย่าให้เล่นถึงแม้ว่าเด็กจะอาละวาดขนาดไหน ก็อย่าสนใจ แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น


3. ลดการยั่วแหย่เด็ก หรือทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น


4. ในกรณีที่มีผู้ใหญ่ที่ชอบกรี๊ด หรือโวยวายเป็นต้นแบบของวิธีที่จะเอาแต่ใจตัวเอง จำเป็นต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อลดแบบอย่าง ถ้าเป็นไปได้กรณีที่เปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ต้องแยกเด็กให้ห่างออกมา

5. ฝึกให้เด็กควบคุมอารมณ์ อารมณ์รัก ชอบ ดีใจ ไม่พอใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ เป็นอารมณ์ที่พบได้ในเด็กวัย 3 – 5 ปี หน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนให้เด็กรู้ทันว่าตนเองรู้สุกอย่างไร และฝึกให้หัดควบคุมอารมณ์ หรือฝึกวิธีระบายอารมณ์ ซึ่งมีหลายวิธีตั้งแต่การพูดคุย การทำสิ่งทดแทน เช่นโกรธจัด ๆ ก็ไปเตะฟุตบอล หรือว่ายน้ำ หรือวาดรูปเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น

6. เพิ่มทักษะในการเล่น เช่น การว่ายน้ำ เล่นบอล ถีบจักรยาน วาดรูป เล่นตุ๊กตา เล่นขายของ ฯลฯ เพราะการเล่นในเด็กมีความหมายเท่ากับการทำงานของผู้ใหญ่ ในชีวิตจริงเราพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโรธแค้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่การเล่นและการทำกิจกรรมจะทำให้เด็กผ่านภาวะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ได้มีเวลาไตร่ตรอง และระบายความรู้สึกผ่านการเล่นนี้เอง

7. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ปัญหาของเด็ก 3 – 5 ปี มักหนีไม่พ้นปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ทำน้ำหก ติดกระดุมเขย่ง หารองเท้าไม่พบ ฯลฯ การฝึกหัดให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลทำให้เด็กมีความชำนาญที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ผิดหวังได้เก่งกว่าเด็กที่ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งก็คงทำได้แค่ส่งเสียงกรี๊ด ๆ รอให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลืออีกตามเคย


สารพันปัญหาเด็ก
พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์